บล็อกนี้จัดทำขึ้นในการเรียนการสอนรายวิชาอินเทอร์เน็ตและการสื่อสารในชีวิตประจำวันมหาวิทยาลัยมหาสารคาม



งานราตรีชมพูอมส้ม54 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิยาลัยมหาสารคาม

วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2554

อาหารสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง

 

ท่านทราบหรือไม่ว่าผู้ป่วยมะเร็งจำนวนมากไม่ได้เสียชีวิตจากการลุกลามของโรค
ความสำคัญของอาหารต่อผู้ป่วยท่านทราบหรือไม่ว่าผู้ป่วยมะเร็งจำนวนมากไม่ได้เสียชีวิตจากการลุกลามของโรค แต่กลับเป็นเพราะการขาดอาหาร การศึกษาวิจัยจำนวนมากแสดงให้เห็นว่าในระยะที่เจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆรวมทั้งมะเร็ง ถ้าร่างกายได้อาหารที่เหมาะสม เพียงพอที่จะช่วยให้การรักษาได้ผลดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการรักษาด้วยยา การผ่าตัด หรือการฉายรังสี ช่วยให้ร่างกายฟื้นสภาพได้เร็วและดียิ่งขึ้น หรืออย่างน้อยที่สุดก็ช่วยให้คงสุขภาพนั้นไว้ ไม่ให้เสื่อมโทรมกว่าที่ควรจะเป็น จึงเป็นที่ยอมรับกันในปัจจุบันว่า "อาหารที่ดีจะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตแก่ผู้ป่วยมะเร็ง"

 ภาวะขาดอาหารกับผู้ป่วยมะเร็ง
ผู้ป่วยมะเร็งส่วนใหญ่มีภาวะขาดอาหาร ถ้าปล่อยให้ลุกลามไปเรื่อยๆ อาจผอมแห้งจนหนังหุ้มกระดูก อ่อนเพลียไม่มีแรง หมดความกระตือรือร้น อวัยวะต่างๆทำงานผิดปกติ เกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย จนมีผลเสียที่รุนแรงได้ การขาดอาหารพบได้ทั้งการขาดพลังงาน ขาดโปรตีน วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ

 สาเหตุที่ผู้ป่วยโรคมะเร็งขาดสารอาหาร
1. ร่างกายต้องการพลังงานเพิ่มขึ้น เซลล์มะเร็งมีการสร้างสารเคมีบางอย่างทำให้มีการเผาผลาญอาหารที่รับประทานเข้าไปให้หมดโดยเร็วเพื่อใช้เป็นพลังงาน ถ้าได้อาหารไม่เพียงพอ จะมีการเผาผลาญอาหารจากอาหารส่วนที่สะสมไว้ในร่างกาย แล้วลุกลามไปถึงกล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่อต่างๆได้
2. ผู้ป่วยรับประทานอาหารน้อยในขณะที่ร่างกายต้องการอาหารเพื่อนำไปสร้างพลังงานเพิ่มขึ้น แต่ผู้ป่วยมะเร็งจำนวนมากรับประทานอาหารได้น้อย จึงยิ่งขาดอาหารง่ายขึ้น


อุปสรรคของการรับประทานอาหาร
ผู้ป่วยรับประทานอาหารน้อยลงจากปัญหาต่อไปนี้หรือไม่

1. เบื่ออาหาร มักจะรู้สึกชัดเจนในช่วงที่รักษาด้วยยาหรือการฉายรังสี เมื่อจบการรักษาอาการมักจะดีขึ้น ตำแหน่งของมะเร็งที่ต่างกัน และระยะต่างๆของโรคจะมีอาการมากน้อยต่างกัน
2. การรับรสผิดปกติทานอาจรู้สึกขมในปาก รับประทานอาหารหวานแล้วไม่ค่อยรู้สึกรสหวาน บางครั้งรสเปรี้ยวและเค็มก็รับรสได้ผิดไป เกิดจากความผิดปกติของเยื่อบุในปากและต่อมรับรสที่ลิ้นมักเกิดมากเพียงบางระยะของโรคหรือการรักษา
3. คลื่นไส้อาเจียนท้องเสีย เกิดอาการในช่วงของการรักษาด้วยยาหรือแสง
4. อาการไม่สุขสบายอื่นๆ เช่นมีความเจ็บปวด แน่นท้องปวดท้อง ท้องผูก มักเป็นอาการที่เกิดเป็นผลโดยตรงหรือโดยอ้อมจากมะเร็ง หรือเป็นผลข้างเคียงของการรักษา                                                                                   
5. การงดอาหารแสลง ถ้าท่านงดสิ่งที่มีโทษก็จะเป็นผลดี แต่ถ้างดอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายก็จะเป็นเรื่องน่าเสียดาย เพราะจะยิ่งขาดอาหารมากยิ่งขึ้น
6. ขาดกำลังใจ ถ้าท่านรู้สึกเศร้า ท้อแท้ใจ หมดหวังจะยิ่งทำให้เบื่ออาหารและมีอาการไม่สุขสบายต่างๆมากขึ้น
ดังนั้นท่านจึงควรพยายามทำจิตใจให้เข้มแข็ง สงบและสดชื่นตามสมควร ทำความเข้าใจถึงความไม่สุขสบายต่างๆ ว่ามีโอกาสที่จะทุเลาลง ปรึกษาแพทย์และพยาบาลเพื่อหาทางบรรเทาอาการเหล่านั้นเท่าที่จะทำได้ แล้วมารับประทานอาหารตามคำแนะนำ ซึ่งเป็นทางหนึ่งที่ท่านสามารถช่วยสนับสนุนให้การรักษามะเร็งได้ผลดีขึ้นด้วยตัวของท่านเอง

 ทำอย่างไรผู้ป่วยจึงจะรับประทานอาหารได้มากขึ้น
ถ้าท่านผอมลงและน้ำหนักลด ลองหาทางปฏิบัติดังต่อไปนี้

* หลังอาหารทุกมื้อ ตามด้วยเครื่องดื่ม ผลไม้ หรือขนมหวาน
* เพิ่มจำนวนมื้ออาหาร จากที่เคยรับประทาน 2 - 3 มื้อ ให้เป็น 4 - 6 มื้อ
* เพิ่มอาหารว่างระหว่างมื้อ เป็นผลไม้เครื่องดื่มที่มีคุณค่าทางอาหารสูง
* เลือกชนิดของอาหารที่ท่านชอบมารับประทาน
* ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนอาหารหลายๆชนิด เพื่อที่จะได้ไม่เบื่อ และได้สารอาหารที่มีประโยชน์ครบ
* อาหารที่มีลักษณะอ่อนนุ่ม อาจช่วยให้รับประทานได้ง่ายขึ้น เช่น ไอศกรีม เยลลี่ ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ มะกะโรนี ไข่ลวก
* รับประทานอาหารที่ปรุงเสร็จใหม่ๆ หรือของร้อนควรรับประทานเมื่อร้อน ของเย็นรับประทานเมื่อเย็น
* จัดบรรยากาศในการรับประทานให้รื่นรมย์เท่าที่สามารถทำได้
* พยายามทำจิตใจให้สดชื่น

 อาหารที่เหมาะสมกับผู้ป่วย
1. อาหารทีมีคุณค่าทางอาหารสูง คือมีสารอาหารที่มีประโยชน์ครบถ้วน ในแต่ละวัน  ควรได้รับประทานอาหารหลักครบทั้ง 5 หมู่คือ
* แป้งและน้ำตาล ได้แก่ ข้าว ขนมปัง เส้นก๋วยเตี๋ยว เส้นหมี่ ขนมจีน มะกะโรนี เป็นต้น เป็นสารอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย
* ไขมัน ได้แก่ น้ำมันจากสัตว์และพืชต่างๆ เป็นสารอาหารที่ให้พลังงานสูง ส่วนน้ำมันที่สกัดจากข้าวโพด ถั่วเหลือง รำข้าว จะให้กรดไขมันที่จำเป็นแก่ร่างกาย
* เนื้อสัตว์ต่างๆ เช่นเนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อไก่ ไข่ นม ถั่วเมล็ดแห้ง เป็นแหล่งของสารอาหารโปรตีนที่มีราคาถูกและมีคุณค่าสูงมาก
* ผักสดได้แก่ผักใบเขียวต่างๆ เช่น ตำลึง คะน้า ผักกาด และผักอื่นๆ เช่นมะเขือเทศ ฟักทอง เป็นแหล่งของเกลือแร่
* ผลไม้ ทั้งผลไม้สด และน้ำผลไม้คั้น เช่น ส้ม มะละกอ กล้วย ฝรั่ง ให้วิตามินหลายชนิด
2. รับประทาน อาหารที่สะอาด ท่านมักจะมีความต้านทานต่อเชื้อโรคน้อยลง จึงควรเอาใจใส่เรื่องของความสะอาดให้ดีเช่น
* เนื้อสัตว์ ไข่ ต้องปรุงให้สุก
* ผักสดผลไม้ ล้างน้ำให้สะอาดหลายๆครั้ง
* การคั้นน้ำผลไม้ ควรล้างเปลือกผลไม้ก่อน อุปกรณ์ที่ใช้และมือผู้คั้นควรล้างให้สะอาด
* ถ้ามีความจำเป็นต้องเก็บอาหารไว้ ควรเก็บให้ถูกวิธี ป้องกันการบูดเน่าเสีย และอุ่นใหม่ก่อนรับประทาน ระวังแมลงวันและสัตว์อื่นๆไต่ตอมอาหาร
3. หลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่ค่อยมีประโยชน์และอาจมีโทษ เช่น
* อาหารหมักดอง
* อาหารใส่สีฉูดฉาด
* อาหารเผ็ดจัด


4. อาหารเสริมที่ผลิตสำเร็จ หรืออาหารทางการแพทย์ ปัจจุบันมีการผลิตอาหารเป็นชนิดผงใช้ชงกับน้ำอุ่นดื่ม หรือเป็นชนิดน้ำดื่มได้เลยโดยมีการเติมสี กลิ่น เพื่อให้ดื่มง่ายขึ้น ควรเลือกชนิดที่มีคุณค่าทางอาหารครบถ้วน และมีโปรตีนสูง ท่านสามารถ เลือกซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไป ตามกลิ่นรสที่ชอบและพิจารณาคุณค่าอาหารจากข้างกล่อง ร่วมกับขอคำแนะนำจากแพทย์ พยาบาลหรือโภชนากร ตัวอย่างเช่น ไอโซคาล ซัสตาคาล ซัสตาเยน เอ็นชัวร์ เจน-ฟอร์มูล่า ส่วนใหญ่ราคาค่อนข้างแพงแต่ใช้ได้สะดวก และมีประโยชน์ดี
        ถ้าท่านไม่มีปัญหาเรื่องเบื่ออาหารน้ำหนักลด ก็ไม่จำเป็นต้องรับประทานเพิ่มขึ้นกว่าเดิมแต่ควรเลือกชนิดของอาหารที่มีคุณค่าสูง
http://www.gotoknow.org/blog/navee-019/233604
กินอย่างไรเพื่อสุขภาพที่ดีของผู้สูงวัย



ควรเป็นโปรตีนที่เคี้ยวและย่อยง่ายสำหรับผู้สูงอายุ ได้แก่ ปลา ไข่ เต้าหู้ ถั่วเหลือง ถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ และนม
ส่วนเนื้อสัตว์ใหญ่จะต้องตุ๋นให้เปื่อยหรือสับให้ละเอียดเพื่อให้เคี้ยวและกลืนง่าย
โดยผู้สูงอายุควรบริโภคเนื้อสัตว์ประมาณวันละ 150 กรัม


อาหารที่ให้พลังงาน
ควรเป็นอาหารคาร์โบไฮเดรตชนิดไม่ขัดสี เช่น ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท ถั่วเมล็ดแห้งต่างๆได้แก่ ถั่วเขียว ถั่วดำ
ถั่วแดงและธัญพืชต่างๆ เช่น ข้าวโพด ลูกเดือย ซีเรียล เป็นต้น ควรบริโภคให้ได้วันละ 6 ทัพพี หรือประมาณ 3
ถ้วยตวง ซึ่งอาหารประเภทนี้นอกจากให้พลังงานแล้วยังมีกากใยสูงช่วยในการย่อยและป้องกันท้องผูกได้



น้ำหรือเครื่องดื่ม
ได้แก่ น้ำสะอาด ซุปและน้ำผลไม้ โดยควรบริโภคให้ได้วันละ 8-12 แก้ว
การดื่มน้ำให้เพียงพอจะช่วยให้ไตขับถ่ายของเสียได้ดีขึ้นและช่วยลดปัญหาท้องผูก


แคลเซียม
ในวัยสูงอายุจะมีความต้องการสูงขึ้น โดยปริมาณที่ต้องการในวัยนี้คือวันละ 1,200 มิลลิกรัม
โดยในนมทั่วไปขนาด 240 ซี.ซี. มีแคลเซียมประมาณ 300 มิลลิกรัม อาหารที่มีแคลเซียมสูง ได้แก่
นมหรือผลิตภัณฑ์นม เช่น โยเกิร์ตชนิดครีม เนยแข็ง ปลาเล็กปลาน้อยซึ่งรับประทานได้ทั้งกระดูก กุ้งแห้งป่น
ผักใบเขียวต่างๆ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วขาว ปูเค็ม งาและผงกะหรี่
และจากปริมาณที่ต้องการมากขึ้นและยากต่อการบริโภคให้เพียงพอจึงอาจรับประทานในรูปผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
ซึ่งในการเสริมสร้างกระดูกแคลเซียมจะทำงานร่วมกับวิตามินดี
โดยวิตามินดีจะช่วยในการดูดซึมและสะสมแคลเซียมในกระดูก ซึ่งผิวหนังคนเราสร้างวิตามินดีได้จากแสงแดด
แต่เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุโดยเฉพาะวัย 70 ปี ประสิทธิภาพการสร้างวิตามินดีจากแสงแดดจะลดลง
จึงควรเสริมวิตามินดีประมาณ 400-600 ไอยู จากวิตามินรวม
โดยวิตามินดีในอาหารพบมากในไข่แดง เครื่องในสัตว์และนมที่เสริมวิตามินดี


ธาตุเหล็กและวิตามินซีมีความจำเป็นในการสร้างเม็ดเลือด
ในวัยสูงอายุจะพบปัญหาโลหิตจางเนื่องจากขาดธาตุเหล็ก ผู้สูงอายุจึงควรบริโภคอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง ได้แก่
ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่วต่างๆ เนื้อสัตว์และผักใบเขียว ร่วมกับอาหารที่มีวิตามินซี
เพราะวิตามินซีจะช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กจากพืชได้ดีขึ้น


วิตามินเอ
ร่างกายจะสร้างจากเบต้าแคโรทีนซึ่งพบมากในผักใบเขียวจัด เหลืองจัดและส้มจัด
วิตามินเอจะช่วยการมองเห็นในที่มืด ปกป้องผิวหนังและเนื้อเยื่อของร่างกาย
และไม่แนะนำให้บริโภควิตามินเอและธาตุเหล็กในรูปอาหารเสริมเพราะเสี่ยงต่อการสะสมและเป็นอันตรายได้


วิตามินบี 12 และกรดโฟลิก
เป็นวิตามินที่จำเป็นอีกหนึ่งชนิดเพราะช่วยในการสร้างเม็ดเลือดร่วมกับ โฟเลทหรือกรดโฟลิก
อาหารที่มีวิตามินบี 12 สูง ได้แก่ เนื้อสัตว์ ไก่ ไข่ ปลา นมและผลิตภัณฑ์นม ซึ่งในวัยสูงอายุจะมีปัญหาในเรื่อง
การดูดซึมวิตามินบี 12 ทำให้โลหิตจาง จึงอาจรับประทานในรูปอาหารเสริม
ส่วนอาหารที่มีกรดโฟลิกสูง ได้แก่ ตับ ผักใบเขียวจัด ผลไม้ ถั่วต่างๆ ธัญพืช


สังกะสี
ทำหน้าที่ป้องกันการติดเชื้อ ซ่อมแซมเนื้อเยื่อ เพิ่มภูมิต้านทาน
อาหารที่มีสังกะสีสูง ได้แก่ อาหารทะเล ธัญพืชไม่ขัดสี นม


ส่วนอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเพราะจะส่งผลเสียต่อสุขภาพ

ได้แก่ ไขมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งไขมันอิ่มตัว ซึ่งพบมากในไขมันสัตว์บก ผลิตภัณฑ์นมไขมันเต็ม น้ำมันมะพร้าว
กะทิ เพราะไขมันเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูง จะก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดและหัวใจ
ควรลดการรับประทานรสเค็มจัด เพื่อป้องกันความดันโลหิตสูง การบวมน้ำและโรคไต

นอกจากการบริโภคให้ครบโภชนาการแล้ว การปฏิบัติตัวก็เป็นเรื่องที่ควรเอาใจใส่ซึ่งดิฉันก็มีข้อแนะนำคือ
ควรรับประทานอาหารให้เป็นเวลาสม่ำเสมอ มื้ออาหารควรเป็นมื้อเล็กๆ แต่หลายมื้อมากขึ้น
เนื่องจากผู้สูงอายุมีปัญหาเรื่องการย่อยและดูดซึม อาหารควรเคี้ยวง่ายและสะดวกต่อการกลืน
ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอตามกำลังที่ทำได้ อย่าลืมนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
หลีกเลี่ยงการดื่มเหล้าและสูบบุหรี่ ผ่อนคลายความเครียด เพียงเท่านี้แม้จะเข้าสู่วัยสูงอายุแล้ว
แต่ก็จะเป็นผู้สูงอายุที่ร่างกายแข็งแรงและจิตใจแจ่มใสอยู่เสมอค่ะ

โดย รศ. ดร. สุบัณฑิต นิ่มรัตน์

เอกสารอ้างอิง
ชุลีพร สวาสดิ์ญาติ (2542) อาหารสำหรับผู้สูงวัย. เครือโรงพยาบาลพญาไท.
นรภัทร ปีสิริกานต์ (2550)Elderly Health: สารอาหารเชิงป้องกันเพื่อผู้สูงวัย.
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=anotherside&month=03-2009&date=24&group=17&gblog=46
การเลือกบริโภคอาหารให้เหมาะสมในวัยสูงอายุ เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ด้าน
ไม่ว่าจะเป็นด้านสรีรวิทยาหรือระบบต่างๆ ในร่างกายและด้านจิตใจที่มีประสิทธิภาพลดลง
โดยระบบต่างๆ ในร่างกายจะเริ่มเสื่อมสภาพ การดูดซึมสารอาหารของระบบย่อยอาหารไม่ดีเท่าที่ควร
จึงทำให้ในวัยสูงอายุนั้นมีความเสี่ยงต่อโรคขาดสารอาหารสูง และจากการที่ร่างกายอ่อนแอลง ทำให้เสี่ยงต่อโรค
เรื้อรังที่มาพร้อมกับวัยอีกด้วยไม่ว่าจะเป็น โรคอ้วน โรคหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน
โรคมะเร็ง กระดูกพรุน ไขข้อและต้อกระจก ซึ่งความทรุดโทรมของสุขภาพและโรคทั้งหลายที่เอ่ยถึงเหล่านี้
เราสามารถป้องกันได้ โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคและใส่ใจดูแลรักษาร่างกายอย่างสม่ำเสมอ
ซึ่งก็มีวิธีการปฏิบัติตัวเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุและแนวทางการบริโภคมาแนะนำค่ะ

จากที่ได้กล่าวไปแล้วว่าเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ หากบริโภคได้ไม่เหมาะสมจะเกิดการขาดสารอาหารที่จำเป็นบางอย่าง
และเกิดการสะสมของเสียภายในร่างกาย ซึ่งจะส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอลงและง่ายต่อการเกิดโรค
จึงควรให้ความสนใจในการบริโภคอาหาร สารอาหารที่มีความจำเป็นและต้องบริโภคให้เพียงพอ ได้แก่
โปรตีน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม โฟเลทหรือกรดโฟลิก ธาตุเหล็ก สังกะสี วิตามินต่างๆ ได้แก่ วิตามินดี วิตามินเอ
วิตามินบี 12 วิตามินซี และสิ่งสำคัญที่ร่างกายขาดไม่ได้คือ น้ำ


อาหารกลุ่มที่ให้โปรตีน

ครอบฟันสี



ตามที่รกร้างว่างเปล่า ริมทาง เรามักพบเห็นต้นครอบฟันสีขึ้นอยู่ทั่วไป วันหนึ่งผู้เขียนได้ไปที่ร้านขายยาเห็นเขาตากครอบฟันสีไว้ จึงถามว่าจะเอาไปทำอะไร เขาบอกว่ามีคนมาสั่งเอาไปต้มกินแก้เบาหวาน หมอยาท่านหนึ่งแนะนำคนไข้ให้เอาครอบฟันสีมาต้มกินเพราะมีพิษร้อนภายในสูง คนไข้อีกคนหนึ่งมีอาการชัก หมอก็แนะนำให้กินน้ำต้มครอบฟันสี ผู้เขียนสงสัยว่าครอบฟันสีที่เป็นวัชพืชต้นนี้แก้อาการต่างๆข้างต้นได้จริงหรือ จึงได้ค้นคว้าดูพบว่าตามภูมิปัญญาโบราณระบุไว้ว่า
ต้น บำรุงโลหิตและขับลม
ใบ บ่มหนองให้แตกเร็ว
ดอก ฟอกล้างลำไส้ให้สะอาด
ราก แก้ลมและดี บำรุงธาตุ แก้มุตกิด แก้ไอ แก้ไข้ผอมเหลืองบำรุงกำลัง
สรรพคุณโดยรวมก็คือ ขับปัสสาวะ สมานเยื่ออ่อนตามทางเดินของปัสสาวะไม่ให้อักเสบ แก้โรคเบาหวาน แก้ปัสสาวะพิการ ขับตะกอนและไข่ขาวในกระเพาะปัสสาวะ
ฟิลิปปินส์ ใช้ใบต้มเอาน้ำชะล้างบาดแผลและแผลเรื้อรังต่างๆ และใช้สวนล้างช่องคลอด หรือทาภายนอก
อินเดีย ใช้ยาชงจากราก แก้ขัดเบา เบาเป็นเลือด เปลือกและรากมีฤทธิ์ขับปัสสาวะได้ดี ดอกและใบ ใช้พอกฝีและแผลเรื้อรังต่างๆ
อินโดจีน ใช้ดอกอ่อนและเมล็ด ขับปัสสาวะ หล่อลื่นและเป็นยาบำรุง
จากภูมิปัญญาเหล่านี้จะพบว่าครอบฟันสีมีสรรพคุณขับปัสสาวะเป็นหลัก พร้อมทั้งแก้ลมและดีด้วย ดังนั้นคนที่เป็นเบาหวานเมื่อกินครอบฟันสีแล้วจะขับปัสสาวะออกมา ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง พร้อมทั้งบำรุงน้ำดีให้บริบูรณ์ด้วย จึงช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ ช่วยขับพิษร้อนในร่างกายออกไป และทำให้ลมเดินเป็นปกติ ทำให้แก้เบาหวานได้ คนไข้หายจากพิษร้อนภายใน สำหรับคนไข้ที่ชักจากดีเป็นเหตุ เมื่อดีและลมเป็นปกติก็จะหายชักไปเอง เหล่านี้เป็นแนวคิดตามเภสัชแผนโบราณ
ส่วนเภสัชแผนปัจจุบันก็ได้มีการเก็บรวบรวมและวิจัยเกี่ยวกับครอบฟันสีไว้พอสมควรดังนี้
ครอบฟันสีมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Abutilon indicum(L.) Sweet วงศ์ Malvaceae มีชื่อ ภาษาอังกฤษว่า Country Mallow, Moon Flower เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ลำต้นตั้งตรง แตกกิ่งสาขามาก มีขนอ่อนนุ่มสีเทาปกคลุมทั่วไปทั้งต้น ก้านใบยาว รูปใบคล้ายหัวใจ ขอบใบมีรอยหยักรูปฟัน มีดอกสีเหลือง ผลเป็นกลีบๆเรียงติดกันคล้ายฟันเฟืองสีข้าวมีขนสั้นๆปกคลุม เมล็ดคล้ายรูปไต มักขึ้นตามที่รกร้าง ริมถนนหนทาง
สารเคมีที่พบ ทั้งต้นมี Flavonoides(เช่น Gossypin, Gossypitrin, Cyanidin-3-rutinoside) ใบ มี Mucilage, Tannins, Organic acid, Traces of asparagin และเถ้าที่ประกอบด้วย Alkaline sulphates, Chlorides, Magnesium phosphate และCalcium carbonate ราก มี Asparagin เมล็ด มีไขมันประมาณ 5%, Fatty acid ซึ่งมี Oleic acid 41.3%, Linoleic acid 26.67%, Linolenic acid 6.8%, Stearic acid 11.17%, Palmitic acid 5.08% Non-saponified matter ประมาณ 1.77% (ซึ่งเป็นพวก Sterol)
ยังไม่พบรายงานที่นำไปใช้ในการแพทย์แผนปัจจุบัน

มังคุดสามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้


ใครที่ชอบทานมังคุด ทราบหรือไม่ว่า มังคุดก็สามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้
นักวิทยศาสตร์ ได้ศึกษาสารสกัดจากเปลือกมังคุด
พบฤทธิ์จู่โจมเฉพาะเซลล์มะเร็งในร่างกาย โดยไม่สร้างความเสียหายให้เซลล์ดีที่อยู่รายรอบ

ผลการทดลอง
สารสกัดจากเปลือกมังคุดสามารถจัดการกับเซลล์มะเร็งได้เป็นอย่างดี
แม้จะใช้เพียงเล็กน้อยเพียง 4 มิลลิกรัมก็ตาม 
สารสกัดจากเปลือกมังคุดที่นำมาใช้ในการศึกษานี้ ได้รับการสนับสนุนจากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
และมหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยการทดสอบพบว่า

สารสกัดในปริมาณ 4 มิลลิกรัม ดังกล่าว
สามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้กว่า 50% ของเซลล์มะเร็งทั้งหมด
และจากการขยายผลนำสารสกัดไปทดสอบกับเซลล์มะเร็งอื่น
ก็พบว่าสามารถออกฤทธิ์ดีในการทำลายเซลล์มะเร็งลำไส้และเซลล์มะเร็งตับ

รู้อย่างนี้แล้ว ก็ลองหันมาทานมังคุดกันดีกว่า เพื่อสุขภาพที่ดี

หญ้าปักกิ่ง (หญ้าเทวดา)


หญ้าปักกิ่ง หรือ หญ้าเทวดา
       มีข้อถกเถียงกันมานานเรื่องการใช้ หญ้าปักกิ่ง แต่ผลการวิจัยได้พิสูจน์ว่าหญ้าปักกิ่ง มีคุณสมบัติยับยั้งโรคมะเร็งได้จริง แต่ต้องรับประทานอย่างถูกต้อง ทั้งนี้ สิ่งที่ต้องระมัดระวังให้มาก หลังจากที่ หญ้าปักกิ่งแพร่หลายในบ้านเรา คือเรื่อง หญ้าปักกิ่งปลอม ซึ่งต้องสังเกตให้ดี อย่าหลงเชื่อผู้ขาย และต้องปรึกษาผู้รู้เท่านั้น
      
       หญ้าปักกิ่ง หรือในชื่อภาษาจีนว่า เล้งจือเช่า หรือหญ้าเทวดา เป็นยามีรสจืด เย็น มีสรรพคุณในการยับยั้งโรคมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งในคอ มะเร็งตับ มะเร็งมดลูก มะเร็งเม็ดเลือดขาว การตรวจวิเคราะห์ในห้องแล็บพบว่า ลำต้นหญ้าปักกิ่งมีสารกลุ่มกลัยโคสพิงโกไลบิตส์ เป็นสารต้านมะเร็งระยะต้น ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย เช่น โรคมะเร็ง เส้นเลือดหัวใจตีบ โรคภูมิแพ้ โรคความดันและเบาหวาน สามารถใช้รักษาร่วมกับยาแผนปัจจุบันได้ ช่วยลดอาการข้างเคียงจาการฉายแสง ในผู้ป่วยที่จำเป็นต้องฉายแสง
      
       “ชาวจีนสมัยโบราณใช้หญ้าปักกิ่งเป็นยารักษาโรคมานับพันปีแล้ว รักษาสารพัดโรคครอบจักรวาล เช่น บำรุงพลังปราณ ปรับสมดุลร่างกาย เสริมภูมิคุ้มกัน ในประเทศไทยมีการนำเข้ามาปลูกเป็นยาจีน รักษาโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ และทำน้ำคั้นดื่มรักษาโรคมาเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้วคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เคยทำวิจัยคุณสมบัติหญ้าปักกิ่ง พบว่า ไม่มีพิษสะสมต่ออวัยวะอื่น และได้สรรพคุณทางเคมีเภสัชว่า สามารถทำลายเซลล์มะเร็งโดยตรงระยะอ่อน-ปานกลาง โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม และลำไส้ใหญ่ ซึ่งสารที่แสดงฤทธิ์ คือกลุ่มกลัยโคสพิงโกไลบิตส์”
      
       ถิ่นกำเนิดของหญ้าปักกิ่ง
       หญ้าปักกิ่งมีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนตอนใต้แถบสิบสองปันนา ในตำรายาจีนปรากฏพืชชนิดสกุลเดียวกันนี้ ใช้รักษาอาการเจ็บคอและมะเร็ง มีลักษณะคล้ายกับหญ้ามาเลเซียที่นำมาปูพื้นสนาม แต่หญ้าปักกิ่งจะอวบน้ำกว่า ใบนุ่ม หลังใบมีขนอ่อนๆ โคนต้นทรงกระบอก สีออกขาว ดอกออกเป็นช่อที่ยอดรวมกันเป็นกระจุกแน่น กลีบดอกสีฟ้าหรือสีม่วงอ่อน มีสรรพคุณเสริมภูมิต้านทาน ช่วยให้คุณภาพชีวิตผู้ป่วยมะเร็งดีขึ้น
      
       การแปรรูปหญ้าปักกิ่ง


       เก็บเอาหญ้าปักกิ่งทั้งต้นทั้งราก คัดเอาใบที่สมบูรณ์และใบซีดเหลืองออกก่อน ล้างเศษดินที่ติดมากับรากให้สะอาดนำไปล้างน้ำอีก 2 ครั้ง ทิ้งให้สะเด็ดน้ำ นำหญ้าปักกิ่งมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆขนาด ครึ่งเซนติเมตร นำไปตากแดดประมาณ 5-7 วัน เวลาตากควรเกลี่ยให้ทั่วและเกลี่ยบ่อยๆ เมื่อแห้งสนิมแล้วนำมาบรรจุภาชนะให้มิดชิด สามารถนำไปทำเป็นลูกกลอน ยาอัดเม็ด แคปซูล ชา และเครื่องดื่มชนิดผง
      
       “ส่วนมากจะทำเป็นน้ำหญ้าปักกิ่ง มีส่วนผสมคือ หญ้าปักกิ่ง น้ำเชื่อม น้ำสะอาด วิธีการคือ นำหญ้าปักกิ่งที่สดใหม่ ล้างน้ำให้สะอาด แช่ด่างทับทิม 15-20 นาที แล้วหั่นตามขวางละเอียด ใส่เครื่องปั่น เติมน้ำแล้วกรองด้วยผ้าขาว เติมน้ำเชื่อมพอหวาน ชิมรสตามชอบจะได้น้ำหญ้าปักกิ่งสีเขียวหวานใส”


      
       ประวัติการรักษาโรคมะเร็งในประเทศนั้น
       ประมาณปี 2527 มีผู้ป่วยโรคมะเร็งดื่มน้ำคั้นสดจากหญ้าเทวดาเพื่อรักษาและบรรเทาอาการจากโรคมะเร็ง สามารถยืดชีวิตต่อไปได้ในระยะหนึ่ง ทำให้หญ้าเทวดาเป็นที่สนใจมาก นอกจากนั้นมีผู้ป่วยโรคมะเร็งรายหนึ่ง แพทย์บอกว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีก 3 เดือน ขอให้นำไปพักรักษาที่บ้าน แต่ผู้ป่วยได้ดื่มน้ำหญ้าปักกิ่งคั้นสด 1 ปีต่อมายังไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกาย ผลของผู้ป่วยรายนี้กระตุ้นให้มีการศึกษาวิจัยคุณสมบัติของหญ้าเทวดา นอกจากนี้ยังมีผู้ป่วยบางรายที่ใช้หญ้าปักกิ่งรักษาอาการร่วมกับยาแผนปัจจุบัน
      
       “ในการวิจัยที่เคยมีการทำกันมามีรายงานว่า สารสกัดหญ้าเทวดา มีผลลดความรุนแรงของการแพร่กระจายของมะเร็งในหนู จึงคาดว่า สารสกัดหญ้าเทวดาอาจใช้ป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้”
      
       ข้อควรระมัดระวังในการใช้หญ้าเทวดา
       หญ้าเทวดาที่มีคุณประโยชน์ต่อผู้ป่วยต้องเป็นต้นที่มีอายุเหมาะสม กล่าวคือ หากเป็นหญ้าที่มีการปลูกโดยการชำกิ่งต้องมีอายุมากกว่า 3 เดือนขึ้นไป แต่ถ้าเป็นหญ้าที่ปลูกจากการเพาะเมล็ด ต้องมีอายุมากกว่า 5 เดือนขึ้นไป
       หญ้าเทวดาที่มีอายุยังไม่ครบ ได้มีการศึกษาแล้วพบว่า สารกลุ่มกลัยโคสพิงโกไลบิตส์ ไม่มีการสร้างในต้นที่มีอายุยังไม่ครบ ดังนั้นการซื้อหญ้าเทวดามาบริโภคต้องมั่นใจว่าต้นนั้นๆมีอายุครบตามเกณฑ์ที่กำหนด จึงจะได้คุณประโยชน์ที่พึงประสงค์
      
       “ในด้านการพัฒนาสู่มาตรฐานสากลในประเทศไทยนั้น สถาบันวิจัยและพัฒนาขององค์การเภสัชกรรม ได้นำหญ้าเทวดามาพัฒนาเป็นยาเม็ด โดยใช้ส่วนประกอบทุกอย่างเป็นสารธรรมชาติ แม้กระทั่งสีที่ใช้เคลือบยาเม็ดก็ได้จากสีเขียวของคลอโรฟีลล์จากพืช วัตถุดิบและการผลิตทั้งหมดเป็นภูมิปัญญาของคนไทยล้วนๆไม่พึ่งต่างชาติ แต่การประกันคุณภาพจะเทียบเท่ามาตรฐานสากล”
      
       การพัฒนาหญ้าเทวดาในรูปของยาเม็ด นอกจากเป็นรูปแบบของยาที่รับประทานง่ายแล้ว ยังช่วยให้ผู้ป่วยได้รับคุณค่าของยาอย่างสม่ำเสมอ เพราะยาเม็ดหญ้าเทวดาทุกเม็ดได้ผ่านกระบวนการผลิตและการควบคุมที่ทันสมัย เพื่อประกันคุณภาพของยาเม็ดหญ้าเทวดาทุก 2 เม็ดมีคุณค่าเทียบเท่ากับหญ้าเทวดาสดจำนวน 3 ต้น
      
       “การใช้ยานี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ควรรับประทานยานี้เป็นรอบ โดยรับประทาน 7 วันแล้วหยุด 4 วัน สลับกันไปแล้วเริ่มรับประทานรอบใหม่ ระยะเวลาการรับประทานขึ้นกับจุดประสงค์การใช้ยาดังนี้ กรณีใช้ลดผลข้างเคียงจากรังสีบำบัดหรือเคมีบำบัดผู้ป่วยมะเร็งรับประทานควบคู่ไปกับการรักษาแผนปัจจุบัน โดยรับประทาน 7 วัน หยุด 4 วัน การหยุดรับประทานเป็นช่วงๆ เพื่อให้ร่างกายได้ปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกัน”
             ส่วนกรณีป้องกันการแพร่กระจายและการกลับมาเป็นซ้ำของผู้ป่วยโรคมะเร็งหลังจากได้รับการรักษาแล้ว โดยป้องกันการแพร่กระจายและกลับเป็นซ้ำอีก ให้รับประทาน 7 วัน หยุด 4 วัน เช่นนี้ติดต่อกัน 1 ปี และตรวจมะเร็งปีละ 2 ครั้ง ส่วนกรณีการใช้เพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน ในผู้ที่ไม่ได้เป็นมะเร็ง รับประทาน 7 วัน หยุด 4 วัน ติดต่อกันเป็นเวลาไม่เกิน 6-8 สัปดาห์ โดยใช้เฉพาะช่วงที่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ติดเชื้อไวรัสเป็นต้น

http://thaiherbclinic.com/node/332

เรื่องของกล้วยยยยย


กล้วยหอมมีสารน้ำตาลอยู่ 3 ชนิดคือ ซุคโคส ฟรุคโตสและกลูโคส (sucrose, fructose and glucose) รวมทั้งเส้นใยอาหาร ซึ่งจะให้พลังงานแก่ร่างกายที่พร้อมนำไปใช้ได้ทันที
มีผลงานวิจัยว่า กล้วยหอม 2 ลูกให้พลังงานเพียงพอให้เราทำงานได้ถึง 90 นาที

จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมนักกีฬาระดับโลกถึงชอบกินกล้วยหอมกันนัก
(เคยเห็นในสนามเทนนิส พอพักเบรคบางคนหยิบกล้วยหอมมากัดกินสัก 2-3 คำ)

นอกจากนี้ กล้วยหอมยังมีคุณอนันต์ ในการป้องกันโรคภัยและภาวะต่างๆ ของร่างกายได้อีกด้วยเช่น:

- ภาวะซึมเศร้า จากการสำรวจและวิจัยไต่ถามพร้อมสุ่มตัวอย่างจากคนไข้ ที่ป่วยเป็นโรคซีมเศร้า หรือในรายสุภาพสตรีก่อนมีประจำเดือน จะมีอารมณ์หงุดหงิดง่าย ไม่อยู่กับร่องรอย ก่อให้เกิดภาวะผิดปกติต่อร่างกาย..เช่นปวดท้อง ปวดหัว...ฯลฯ
 พบว่าส่วนใหญ่จะรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้รับประทานกล้วยหอม เพราะในกล้วยหอมมีสารทริปโทแฟน ( tryptophan) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนโปรตีนชนิดหนึ่ง ซึ่งร่างกายสามารถแปลงเป็น serotonin ซึ่งเป็นสารที่กระตุ้นให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย มีอารมณ์สดใสและมีความสุขมากยิ่งขึ้น

- โรคโลหิตจาง ธาตุเหล็กในกล้วยหอมสามารถที่จะกระตุ้นร่างกายให้ผลิต Hemoglobin (ฮีโมโกลบิน) ในกระแสโลหิต ช่วยหยุดยั้งภาวะโลหิตจางได้

- ความดันโลหิต กล้วยหอมมีเกลือโปแตสเซียมเหลืองอยู่เยอะ เป็นตัวช่วย
ความดันเลือดจนกระทั่ง US Food and Drug Administration อนุมัติให้กล้วยหอมยอดผลไม้มีส่วนช่วยลดภาวะความเสี่ยงความดันได้จริง เสริมสร้างพลังสมอง (Brain Power)

ผลงานวิจัยพบว่าโปแตสเซียมในกล้วยช่วยนักเรียนให้ตื่นตัวอยู่เสมอ
ที่อังกฤษในแคว้น Middlesex มีนักเรียนจำนวน 200 คนจาก Twickenham school อ้างว่าพวกเขาสอบผ่านเพราะได้กินกล้วยหอมเป็นอาหารเช้า รวมทั้งกินอีกนิดหน่อยในตอนมื้อเที่ยงเพื่อทำให้สมอง
สดชื่น

- อาการท้องผูก เส้นใยอาหารในกล้วยหอมช่วยทำให้ระบบขับถ่ายในร่างกาย ทำงานได้ดี

- อาการเมาค้าง  วิธีแก้เมาค้างที่เร็วและดีอีกวิธีหนึ่งก็คือกินกล้วยหอมปั่นbanana milkshake โดยการใส่น้ำผึ้งลงไปด้วย จะช่วยให้ ปรับระดับน้ำตาลในเส้นเลือด และทำให้กระเพาะอาหารอยู่ในสภาวะที่พร้อมทำงาน

- จุกเสียดแน่นท้อง (Heartburn) กล้วยหอมมีสารลดกรดตามธรรมชาติอยู่ ดังนั้นการกินกล้วยก็จะช่วยให้ลดอาการดังกล่าว
ในส่วนของท่านผู้สูงอายุ การรับประทานกล้วยหอมเวลาท้องว่างจะทำให้ลมกำเริบได้ จึงควรรับประทานช่วงมื้อกลางวัน จะทำให้การย่อยทำงานได้ดีไม่มีอาการท้องอืด

- Morning Sickness อาการหงุดหงิดงี่เง่า ไม่สดชื่นในตอนเช้าเช่นไม่อยากจะตื่นบ้าง...ฯลฯ กล้วยหอมสักคำ 2 คำระหว่างมื้อเช้า เที่ยงหรือเย็น จะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดและแก้อาการดังกล่าว ในตอนเช้าได้

- บรรเทาแผลยุงกัด โดยใช้เปลือกกล้วยหอมด้านในถูบริเวณที่ถูกยุงกัด จะช่วยลดอาการคันหรือบวมได้

- ระบบเส้นประสาท  วิตามินบีที่มีอยู่มากในกล้วยหอมจะช่วยลดความเครียดอ่อนล้าได้

- อ้วนจากทำงานมากเกินไป สถาบันจิตวิทยาในออสเตรียได้ศึกษาและพบว่า ความเครียดจากที่ทำงานทำให้คนกินช็อกโกแล็ตและพวกโปเต้โต้ชิปส์มากเกินไป ทำให้น้ำหนักเพิ่มมากขึ้น คังนั้นถ้ากินกล้วยหอมสักเล็กๆ น้อยๆ ประมาณทุกๆ 2 ชม.จะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดและลดการ
อยากกินของจุกจิก

- แผลในลำไส้และกระเพาะอาหารรวมทั้งผิวหนังพุพองเป็นแผล  สารและเส้นใยในกล้วยหอมช่วยให้การย่อยอาหารของลำไส้เล็กดีขึ้น รวมทั้งกรดต่าง ๆที่มีอยู่ทำให้มีการเคลือบผิวของกระเพาะ ลดการเป็นแผลในกระเพาะได้

- ปรับระดับอุณหภูมิในร่างกาย (Temperature Control)  ในประเทศแถบเส้นศูนย์สูตรที่มีอากาศร้อน ผู้คนชอบกินกล้วยหอมดับร้อนกันครับและเชื่อว่ามันเป็นผลไม้เย็นฉ่ำชนิดหนึ่ง

- ลดความอยากสูบบุหรี่  สำหรับท่านที่ต้องการเลิกบุหรี่ กล้วยหอมอาจช่วยท่านได้เพราะมีวิตามิน B6, B12 โปแตสเซียมและแม็กนีเซียม ที่มีอยู่มากจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วจากการขาดสารนิโคติน

จะเห็นได้ว่า กล้วยหอมนั้นเป็นยอดผลไม้จริงๆ เมื่อเปรียบเทียบกับแอปเปิลแล้ว กล้วยหอมมีโปรตีน มากกว่าถึง 4 เท่า มีคาร์โบไฮเดรทมากกว่าถึง 2 เท่า ฟอสฟอรัส มากกว่าถึง 3 เท่า วิตามินเอ และธาตุเหล็กมากกว่าถึง 5 เท่า วิตามินและเกลือแร่ต่างๆ มากกว่าถึง 2 เท่า
http://thaiherbclinic.com/node/368

วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2554

น้ำมะพร้าว...มีประโยชน์มากกว่าที่คิด

 
" น้ำมะพร้าว" ถือเป็นเครื่องดื่มเกลือแร่จากธรรมชาติ เพราะต้นมะพร้าวมีลำต้นสูง
ต้องผ่านการกลั่นกรองตามชั้นต่างๆ ของลำต้นกว่าจะถึงลูกมะพร้าวที่อยู่ข้างบน
น้ำมะพร้าวที่ได้มาจึงบริสุทธิ์มาก และอุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด เช่น โพแทสเซียม
เหล็ก โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ทองแดง กรดอะมิโน กรดอินทรีย์
และวิตามินบี แถมย ังมีน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ภายใน
5 นาที และยังเป็นประโยชน์ในการขับสารพิษและชำระล้างร่างกายด้วย

น้ำมะพร้าวช่วยชะลออาการอัลไซเมอร์
การดื่มน้ำมะพร้าวทุกวันจะช่วยชะลออาการอัลไซเมอร์ได้ จากผลงานวิจัยของ
ดร.นิซาอูดะห์ ระเด่นอาหมัด อาจารย์ประจำภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พบว่า ในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนคล้ายฮอร์โมนเพศหญิงหรือเอสโตรเจนสูง
ซึ่งมีผลช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมในสตรีวัยทอง นอกจากนี้ การดื่ม
น้ำมะพร้าวเป็นประจำทุกวันยังสามารถช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าปกติ
และไม่ทิ้งรอยแผลเป็นอีกด้วย

น้ำมะพร้าวช่วยให้ผิวพรรณสดใส
น้ำมะพร้าวสามารถช่วยเสริมสร้างความสวยใสของผิวพรรณ ทำให้เปล่งปลั่งและขาวนวลขึ้นจากภายในสู่ภายนอก
เพราะในน้ำมะพร้าวมีเอสโตรเจนอยู่ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน
ทำให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น และชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ และในน้ำมะพร้าวยังสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตและแบ่งเซลล์ได้ดี
แถมยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับของเสียหรือสารพิษออกจากร่างกาย ( คล้ายๆ กับการทำดีท็อกซ์)
จึงช่วยทำให้ผิวพรรณผ่องใส อีกทั้งความเป็นด่างของน้ำมะพร้าวยังช่วยปรับสมดุลของร่างกายในช่วงที่มีความเป็นกรดสูง
ทำให้กลไกการทำงานของระบบภายในเป็นปกติ ส่งผลให้มีสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก

..น้ำมะพร้าว
"สปอร์ตดริ๊งค์" จากธรรมชาติ

เนื่องจากน้ำมะพร้าวมีปริมาณเกลือแร่ที่จำเป็นสูง รวมทั้งมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาความอ่อนเพลียเนื่องจากอาการท้องเสียหรือท้องร่วงได้
จึงจัดเป็นสปอร์ตดริ๊งค์ (
Sport Drink)
สามารถดื่มหลังการสูญเสียเหงื่อจากการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกาย
นอกจากนี้ ในประเทศไต้หวันและประเทศจีน ยังนิยมดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อลดอาการเมาหลังการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกด้วย

น้ำมะพร้าวเป็นอาหารบริสุทธิ์ และเต็มไปด้วยกลูโคสที่ร่างกายดูดซึมเข้าไปใช้ได้ง่าย
นอกจากนั้นมะพร้าวยังเป็นผลไม้ที่มีความเป็นด่างสูง สามารถรักษาโรคที่เกิดจากร่างกายมีความเป็นกรดมากเกินไป
หมอพื้นบ้านไทยถือกันว่า มะพร้าวเป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงเส้นเอ็น
ใช้รักษาโรคกระดูกได้ ส่วนคนจีนเชื่อว่า น้ำมะพร้าวมีฤทธิ์เป็นกลาง
ไม่เป็นทั้งหยินและหยาง มีสรรพคุณในการขับพยาธิ สำหรับคนไข้ที่อาเจียนและท้องร่วงในเวลาเดียวกัน
สามารถดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมกลูโคสไปใช้ในเวลาอันรวดเร็วได้..

<!--[if !supportLineBreakNewLine]-->

น้ำมะพร้าวดื่มได้ทุกวัน ทุกเพศทุกวัย เพราะเป็นเครื่องดื่มจากธรรมชาติ
ทำให้ร่างกายสดชื่น ไม่เป็นอันตรายเหมือนน้ำอัดลม น้ำหวาน
หรือน้ำที่ผ่านการปรุงแต่ง เพราะไม่ทำให้เกิดพิษหรือทัอกซินขึ้นในร่างกาย แต่สำหรับคนที่เป็นโรคไตและโรคเบาหวานไม่ควรดื่ม
เพราะน้ำมะพร้าวมีความหวาน ไม่เหมาะกับโรคดังกล่าว

และไม่ควรดื่มในสตรีที่กำลังมีประจำเดือน เพราะจะทำให้ประจำเดือนหยุดเนื่องจากมีฮอร์โมนเพศหญิงที่ทำให้ผนังเยื่อบุมดลูกหยุดการลอกตัว
น้ำมะพร้าวเปิดลูกแล้วควรดื่มเลย ไม่ควรทิ้งไว้นาน ถ้าเราตัดหรือหั่นผลไม้
อย่าทิ้งไว้เกินครึ่งชั่วโมง แม้จะเก็บในตู้เย็นก็ตามค่ะ ควรกินให้หมดในครั้งเดียว
ผลไม้แต่ละอย่างจะมีพลังชีวิต ถ้ากินผลไม้สุกจากต้นจะได้รับพลังชีวิตสูง
หากเก็บทิ้งค้างไว้ พลังชีวิตหรือคุณค่าของผลไม้จะลดต่ำลงเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่เก็บ

http://thaiherbclinic.com/node/1467

รางจืด ยาถอนพิษ


หญิงสาวอายุใกล้ ๕๐ ปีคนหนึ่ง ถ้าไม่บอกอายุ ดูจากผิวพรรณและหน้าตา คงต้องบอกว่าอายุประมาณ ๓๕ ปี และยิ่งรู้ลึกไปถึงประสบการณ์โรคภัยไข้เจ็บที่เธอประสบก็จะยิ่งแปลกใจว่าเธอ รักษาตัวมาได้อย่างไร
เธอเล่าให้ฟังว่า เธอทำงานในตำแหน่งเลขานุการในบริษัทต่างประเทศที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ได้รับเงินเดือนสูง สามีก็ทำงานในตำแหน่งดีเช่นกัน แต่ไม่มีบุตร เมื่อมีเงินมาก จึงใช้จ่ายในการกิน ดื่ม เที่ยว เต็มที่ สถานเสริมความงามที่ใดที่มีเสียงเล่าลือว่ารักษาผิวหน้า ผิวตัวได้ดี เธอจะต้องแวะเข้าไปใช้บริการไม่มีเว้น เครื่องสำอาง เครื่องบำรุงผิว แพงเท่าใด เป็นต้องหาซื้อมาใช้ เพราะเธอมีปัญหาที่ผิวซึ่งแพ้ง่าย ตัวคัน เธอเล่าให้ฟังว่า เพราะกลัวอ้วน มื้อเย็นไม่เคยทานข้าว แต่จะทานไก่ เป็นอาหารหลักทุกเย็น
จนกระทั่งวันหนึ่ง ไปหาหมอ หมอบอกให้นอนโรงพยาบาลทันทีเพื่อผ่าตัดมดลูกออก เนื่องจากก้อนมดลูกโตมาก เธอไม่อยากผ่าตัด กลับไปหาแม่ที่ต่างจังหวัด แม่บอกว่าไม่ต้องผ่า จะรักษาด้วยสมุนไพรพื้นบ้านเอง
เธอกลับบ้านพร้อมกับทานรางจืด ๒ แคปซูลพร้อมกับน้ำซาวข้าว วันละ ๒ ครั้ง พร้อมกับเลิกอาหารเนื้อสัตว์ทุกชนิด หันกลับมาทานข้าวกล้องและอาหารผักผลไม้สด ทานรางจืดได้ไม่นาน เธอต้องลงมานอนข้างล่างเพราะผิวหนังของเธอเต็มไปด้วยตุ่ม หนอง น้ำเหลือง ไหลออกมานอกตัว เหมือนคนเป็นโรคเรื้อน แต่เธอก็อดทนทานยาต่อไปจนครบ ๑ เดือน ผิวหนังที่เป็นตุ่ม เป็นหนองก็แห้งลง จนไม่เหลือร่องรอยอีก เมื่อไปพบแพทย์ที่เคยวินิจฉัยตอนแรกว่าเธอมีเนื้องอกในมดลูก ตรวจอีกครั้ง หมอยังแปลกใจว่า ก้อนเนื้องอกนั้นยุบเล็กลง จนไม่จำเป็นต้องผ่าตัดออกแล้ว
นับจากวันที่เริ่มทานรางจืด เธอได้เปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่หมด เลิกทานเหล้า เลิกกินเนื้อสัตว์ใหญ่ ทานข้าวกล้อง และผักผลไม้เป็นหลัก ออกกำลังกาย ฝึกสมาธิ อบตัวเป็นประจำด้วยสมุนไพรไทย ขัดตัวด้วยมะขามผสมผงขมิ้น เธอเลิกใช้เครื่องสำอางราคาแพงที่เคยแสวงหามาใช้ ผลปรากฏอย่างที่ผู้เขียนพบเธอนั่นเอง

ตำราสมุนไพรไทย สรรพคุณของรางจืดเป็นที่เลื่องลือมากว่าเป็นตัวยาถอนพิษที่ได้ผลชงัดนัก อาการมีตุ่ม มีหนองไหลออกมานอกตัว อาจเกิดจากการขับพิษของรางจืดก็ได้ เพราะเธอได้สะสมพิษไว้ในตัวมากเกินกว่าคนธรรมดาปกติจะมีกัน เนื่องจากชีวิตการกิน การดื่มในวงสังคม
โดยปกติร่างกายเราจะได้รับสารพิษจากอาหาร น้ำดื่ม และอากาศอยู่แล้ว ร่างกายจะสามารถชำระชะล้างสารพิษออกไปได้ในระดับหนึ่ง แต่เพราะวิถีชีวิตที่เร่งรีบ และการกินอาหารขยะมากจนร่างกายขับออกไม่ทัน สารพิษจึงสะสมอยู่ตามเนื้อเยื่อ เป็นผลให้ร่างกายเสื่อมและแก่เร็ว ทั้งยังกีดกันไม่ให้รับสารอาหารเข้าไปเลี้ยงร่างกายได้เต็มที่ ซึ่งสามารถเห็นได้จากความเหี่ยวแห้งของผิวหนังและเส้นผม
ข้าว
ท่านทราบไหมว่าข้าวที่เราทานอยู่ทุกวันนี้นั้นเป็นยาแก้พิษ เส้นใยของข้าวซ้อมมือหรือข้าวกล้องเป็นตัวดูดซับสารพิษอย่างดี และขับออกมาทางอุดจาระ นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เราควรกินข้าวกล้อง หรือข้าวซ้อมมือแทนข้าวขาว
ในตำรับยาไทยบางตำรับจะใช้น้ำซาวข้าวเป็นน้ำ กระสายยา เพื่อให้ฤทธิ์ยาแล่นเร็ว น้ำซาวข้าวจะนำตัวยาจับเม็ดเลือดเข้าสู่กระแสเลือดเร็วเช่นเดียวกับการใช้ ดีงูเหลือมเป็นน้ำกระสายยา แต่ต้องใช้ข้าวซ้อมมือนำมาถูกับมือในน้ำ จึงจะได้น้ำซาวข้าวที่ใช้เป็นกระสายยา ถ้าหากเราถูกพิษ หากไม่มีรางจืด ก็สามารถใช้น้ำซาวข้าวช่วยล้างพิษได้ แก้พิษร้อนใน พิษอักเสบ แก้ผื่นคัน
นอกจากนี้ ในหน้าร้อน ทานอาหารไม่สะอาด อาจทำให้ท้องเสีย ถ้าไม่มียาแก้ท้องเสีย เราก็ใช้ข้าวสุก ๑ ทัพพีล้างน้ำออกหลายๆครั้ง แล้วกินข้าวสุก จะช่วยบรรเทาอาการท้องเสียได้
ถ้าเป็นฝี แล้วอยากจะบ่มหัวฝี ก็ให้เอาข้าวสุก (ข้าวเหนียวจะดีกว่า) มาบดแผ่เป็นแผ่น แล้วปิดหัวฝี จะทำให้หัวฝีแตกเร็วขึ้น
ข้าวสารเอาแช่น้ำแล้วตำ เรียกว่าข้าวเบือผสมสุราทาแก้พิษผื่นคัน แก้ปวดบวม
ข้าวตาก คือข้าวที่หุงสุกแล้ว นำไปตากแห้ง แล้วเอามาคั่ว ใช้ขับประจำเดือนสตรี ซังข้าวหลังการเก็บเกี่ยวก็ใช้ขับประจำเดือนสตรีเช่นเดียวกัน
ข้าวยาคู หรือน้ำนมข้าว ใช้บำรุงกำลังอย่างดี มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล น้ำนมข้าวผลิตจากรวงข้าวอ่อนที่เม็ดข้าวยังเขียวอยู่ ต้องเป็นข้าวอ่อนก่อนเก็บมาทำข้าวเม่า และควรเป็นข้าวปลอดสารพิษ นำข้าวทั้งรวงมาล้างน้ำ แล้วเอารวงข้าวมาทุบให้แหลก เสร็จแล้วผสมน้ำคั้นออกมา จะได้น้ำสีเขียวอ่อน อาจผสมใบเตยด้วยก็ได้ น้ำที่ได้เอาไปต้มจนเดือด จะได้ข้าวยาคูที่มีความหอมข้นและหวานเล็กน้อย
รางจืด

เป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็ง มีสองชนิด คือ รางจืดดอกม่วง และรางจืดดอกขาว แต่ที่นิยมใช้กันคือรางจืดดอกม่วง ใบคล้ายใบย่านาง แต่ดูนิ่มนวลกว่า รางจืดเป็นตัวยารสเย็น ใช้ได้ทั้ง ใบ ราก เถา ตำคั้นน้ำ หรือฝนกับน้ำฝน น้ำซาวข้าว กินเพียงสองครั้งก็เห็นผลในการใช้ดื่มถอนพิษ ทั้งที่เป็นพิษจากยาฆ่าแมลง อาหารเป็นพิษ พิษจากเมาสุรา หรือกินยานอนหลับเกินอัตราส่วนที่แพทย์กำหนด ทั้งนี้เพราะสรรพคุณของรางจืดจะเปลี่ยนกรดหรือด่างในร่างกายที่เป็นพิษให้ เป็นกลาง และเมื่อสารยาของรางจืดซึมเข้าไประบบประสาท ในเส้นเลือด ไปปะทะกับพิษยา หรือสารพิษต่างๆในร่างกาย มันจะทำลายพิษเหล่านั้นให้เป็นกลางในเวลาอันรวดเร็ว ไม่เกิน ๔๕ นาที แต่ไม่ควรทานรางจืดเป็นประจำทุกวัน เพราะจะทำให้ร่างกายไม่ได้รับสารอาหารที่พอเพียง ใบรางจืดยังใช้ตำพอกแก้ปวดบวมได้
ตำรับยาล้างพิษของไทย ใช้กินก่อนกินยารักษาโรค เช่น จะรักษายาเสพติด ก็ให้กินยาล้างพิษก่อน ประกอบด้วย รางจืด เหงือกปลาหมอ และเถาย่านาง อย่างละ ๑๕ กรัม ต้มดื่มล้างพิษ
ต้นรางจืดปลูกง่าย เพียงใช้เถาชำก็ขึ้นแล้ว ปลูกเป็นไม้ประดับก็ได้ น่าจะปลูกไว้ประจำบ้าน
http://thaiherbclinic.com/node/78

มะรุม พืชมหัศจรรย์

มะรุม พืชมหัศจรรย์

 
มะรุม เป็นพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณในหลายด้าน เช่น ราก จะมีรสเผ็ด หวาน ขม แก้อาการบวม บำรุงไฟธาตุ เปลือก จะมีรสร้อน ช่วยขับลม ใบ ช่วยแก้เลือดออกตามไรฟัน แก้อักเสบ ดอก ช่วยบำรุงร่างกาย ขับปัสสาวะ ขับน้ำตา ฝัก รสหวาน แก้ไข้หรือลดไข้ เป็นต้น
ส่วนที่ใช้ : เปลือกต้น ราก ฝัก ใบ เนื้อในเมล็ด
สรรพคุณ :

ฝัก  -  ปรุงเป็นอาหารรับประทานแก้ไข้หัวลม                                                                                                                                     เปลือกต้น - มีรสร้อน รับประทานเป็นยาขับลมในลำไส้ ทำให้ผายหรือเรอ คุมธาตุอ่อนๆ (ตัดต้นลมดีมาก)
ราก - มีรสเผ็ด หวานขม แก้บวม บำรุงไฟธาตุ มีคุณเสมอกับกุ่มบก
      - แก้พิษ ฝี แก้ปวด แก้อักเสบ
แพทย์ตามชนบท ใช้เปลือกมะรุมสดๆ ตำบุบพอแตกๆ อมไว้ข้างแก้ม แล้วรับประทานสุราจะไม่รู้สึกเมาเลย

จากประสบการณ์ เนื้อในเมล็ดมะรุม ใช้แก้ไอได้ดี ใบสดมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ มีแคลเซียม วิตามินซี แร่ธาตุและสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก การรับประทานเนื้อในเมล็ด และใบสดเป็นประจำสามารถเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกายได้
ข้อควรระวัง ในคนที่เป็นโรคเลือด G6PD ไม่ควรรับประทาน
"มะรุม" มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Moringa oleifera Lam. วงศ์ Moringaceae เป็นพืชกำเนิดแถบใต้เชิงเขาหิมาลัย เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางที่ถูกปลูกไว้ในบริเวณบ้านไทยมาแต่โบราณ กินได้หลายส่วน ทั้งยอด ดอก และฝักเขียว แต่ใครๆ ก็นิยมกินฝักมากกว่าส่วนอื่นๆ ต้นมะรุมพบได้ทุกภาคในประเทศไทย ทางอีสานเรียก “ผักอีฮุม หรือผักอีฮึม” ภาคเหนือเรียก “มะค้อมก้อน” ชาวกะเหรี่ยงแถบกาญจนบุรีเรียก “กาแน้งเดิง” ส่วนชานฉานแถบแม่ฮ่องสอนเรียก “ผักเนื้อไก่” เป็นต้น
ผู้เฒ่าผู้แก่นิยมกินมะรุมในช่วงต้นหนาวเพราะเป็นฤดูกาลของฝักมะรุม หาได้ง่าย รสชาติอร่อยเพราะสดเต็มที่ มีขายตามตลาดในช่วงฤดูกาล คนที่ปลูกมะรุมไว้ในบ้านเท่านั้นจึงจะมีโอกาสลิ้มรสยอดมะรุม ใบอ่อน ช่อดอกและฝักอ่อน ช่อดอกนำไปดองเก็บไว้กินกับน้ำพริก ยอดมะรุม ใบอ่อน ช่อดอก และฝักอ่อนนำมาลวกหรือต้ทให้สุก จิ้มกับน้ำพริกปลาร้า น้ำพริกแจ่วบอง กินแนมกับลาบ ก้อย แจ่วได้ทุกอย่าง หรือจะใช้ยอดอ่อน ช่อดอกทำแกงส้มหรือแกงอ่อมก็ได้
ส่วนอื่นๆ ของโลกจะใช้ใบมะรุมประกอบอาหารเช่นเดียวกับการใช้ผักขมฝรั่ง หรือปรุงเป็นซอสข้นราดข้าวหรืออาหารแป้งอื่นๆ นอกจากนี้ ใช้ใบตากแห้งป่นเก็บไว้ได้นานโรยอาหาร เช่นเดียวกับที่ภูมิปัญญาอีสานจังหวัดสกลนครใช้ใบมะรุมแห้งปรุงเข้าเครื่อง “ผงนัว” กับสมุนไพรอื่นไว้แต่งรสอาหารมาแต่โบราณ ส่วนฝักอ่อนปรุงอาหารเหมือนถั่วแขก
คุณค่าทางอาหารของมะรุม มะรุมเป็นพืชมหัศจรรย์ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด กล่าวถึงในคัมภีร์ใบเบิ้ลว่าเป็นพืชที่รักษาทุกโรค
ใบมะรุมมีโปรตีนสูงกว่านมสด 2 เท่า การกินใบมะรุมตามชนบทของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศโลกที่ 3 เป็นการเพิ่มโปรตีนคุณภาพสูงราคาถูกให้กับอาหารพื้นบ้าน
นอกจากนี้ มะรุมมีธาตุอาหารปริมาณสูงเป็นพิเศษที่ช่วยป้องกันโรค นั่นคือ

วิตามินเอ                          บำรุงสายตามีมากกว่าแครอต 3 เท่า
วิตามินซี                        ช่วยป้องกันหวัด 7 เท่าของส้ม
แคลเซียม        บำรุงกระดูกเกิน 3 เท่าของนมสด
โพแทสเซียม    บำรุงสมองและระบบประสาท 3 เท่าของกล้วย
ใยอาหารและพลังงาน  ไม่สูงมากเหมาะกับผู้ที่ควบคุมน้ำหนักอีกด้วย
น้ำมันสกัดจากเมล็ดมะรุม มีองค์ประกอบคล้ายน้ำมันมะกอกดีต่อสุขภาพอย่างยิ่ง

จากอาหารมาเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ ปัจจุบันชาวญี่ปุ่นผลิตชาใบมะรุมออกจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบุว่าใช้แก้ไขปัญหาโรคปากนกกระจอก หอบหืด อาการปวดหูและปวดศรีษะ ช่วยบำรุงสายตา ระบบทางเดินอาหาร และช่วยระบายกาก
ประเทศอินเดีย หญิงตั้งครรภ์จะกินใบมะรุมเพื่อเสริมธาตุเหล็ก แต่ที่ประเทศที่ฟิลิปปินส์และบอสวานาหญิงที่เลี้ยงลูกด้วยนมจะกินแกงจืดใบมะรุม (ภาษาฟิลิปปินส์ เรียก “มาลังเก”) เพื่อประสะน้ำนมและเพิ่มแคลเซียมให้กับน้ำนมแม่เหมือนกับคนไทย

ประโยชน์ของมะรุม1.ใช้รักษาโรคขาดอาหารในเด็กแรกเกิดถึง 10 ขวบ และลดสถิติการเสียชีวิต พิการ และตาบอดได้เป็นอย่างดี
2.ใช้รักษาผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานให้อยู่ในภาวะควบคุมได้
3.รักษาโรคความดันโลหิตสูง
4.ช่วยเพิ่มและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ทานผลิตผลจากมะรุมในระหว่างตั้งครรภ์ เด็กที่เกิดมาจะไม่ติดเชื้อHIV นอกจากนี้ถ้ารับประทานอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้งยังช่วยให้คนทั่วๆไปสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง
5.ช่วยรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ให้อยู่ในภาวะควบคุมได้ การรักษาโรคเอดส์ที่ประสพผลสำเร็จในกลุ่มประเทศแอฟริกา
6.ถ้ารับประทานสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคมะเร็ง แต่ถ้าหากเป็นก็จะช่วยให้การรักษาพยาบาลง่ายขึ้น ในบางกรณีสามารถหยุดการเจริญเติบโตของโรคร้ายได้ ถ้าใช้ควบคู่ไปกับยาแพทย์แผนปัจจุบัน
หากผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งได้รับการรักษาด้วยรังสี การดื่มน้ำมะรุมจะช่วยให้การแพ้รังสีฟื้นตัวเร็วขึ้นและมีร่างกายที่แข็งแรง
7.ช่วยรักษาโรคไขข้ออักเสบ โรคเก๊าท์ โรคกระดูกอักเสบ โรคมะเร็งในกระดูก โรครูมาติซั่ม
8.รักษาโรคตาเกือบทุกชนิด เช่น โรคตามืดตามัวเพราะขาดสารอาหารที่จำเป็น โรคตาต้อ เป็นต้น หากรับประทานสม่ำเสมอ จะทำให้ตามีสุขภาพที่สมบูรณ์
9.รักษาโรคลำไส้อักเสบ โรคเกี่ยวกับท้อง ท้องเสีย ท้องผูก โรคพยาธิในลำไส้
10.รักษาปอดให้แข็งแรง รักษาโรคทางเดินของลมหายใจ และโรคปอดอักเสบ
11.เป็นยาปฏิชีวนะ

น้ำมันมะรุมสรรพคุณ..ใช้หยอดจมูกรักษาโรคภูมิแพ้ ไซนัสโรคทางเดินหายใจ ใช้หยอดหูฆ่าและป้องกันพยาธิในหู รักษาอาการเยื่อบุหูอักเสบ รักษาโรคหูน้ำหนวก ใช้ทาผิวหนังรักษาโรคผิวหนังจากเชื้อราและเชื้อไวรัส รักษาโรคเริม งูสวัด รักษาและบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้น ใช้ทารักษาแผลสด หูด ตาปลา ใช้ถูนวดบรรเทาอาการบริเวณที่ปวดบวมตามข้อ รักษาโรคไขข้ออักเสบ เก๊าท์ รูมาติก เป็นต้น
ชะลอความแก่
กล่าวกันว่ามะรุมมีฤทธิ์ชะลอความแก่ เนื่องจากยังไม่พบรายงานการวิจัยเกี่ยวกับมะรุมในด้านนี้ คาดว่าเป็นการสรุปเนื่องจากมะรุมมีสารฟลาโวนอยด์สำคัญคือ รูทินและเควอเซทิน (rutin และ quercetin) สารลูทีนและกรดแคฟฟีโอลิลควินิก (lutein และ caffeoylquinic acids) ซึ่งต้านอนุมูลอิสระ ดูแลอวัยวะต่างๆ ได้แก่ จอประสาทตา ตับ และหลอดเลือดจากการเสื่อมสภาพตามอายุ การกินสารต้านอนุมูลอิสระชะลอการเสื่อมสภาพในเซลล์ร่างกาย

ฆ่าจุลินทรีย์ สารเบนซิลไทโอไซยาเนตโคไซด์และเบนซิลกลูโคซิโนเลตค้นพบในปี พ.ศ. 2507 จากมะรุมมีฤทธิ์ต้านจุลชีพ สนับสนุนการใช้น้ำคั้นจากมะรุมหยอดหูแก้ปวดหู
ปัจจุบันหลังจากค้นพบแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร Helicobactor pylori กำลังมีการศึกษาสารจากมะรุมในการต้านเชื้อดังกล่าว

การป้องกันมะเร็ง สารเบนซิลไทโอไซยาเนตไกลโคไซด์ชนิดหนึ่งและสารไนอาซิไมซิน (niazimicin) จากมะรุมสามารถต้านการเกิดมะเร็งที่ถูกกระตุ้นโดยสารฟอบอลเอสเทอร์ในเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวได้
การทดลองในหนูพบว่าหนูที่ได้รับฝักมะรุมเป็นอาการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังจากการกระตุ้นน้อยกว่ากลุ่มทดลอง โดยกลุ่มที่กินมะรุมเนื้องอกบนผิวหนังน้อยกว่ากลุ่มควบคุม


ฤทธิ์ลดไขมันและคอเลสเทอรอล
จากการทดลอง 120 วัน ให้กระต่ายกินฝักมะรุม วันละ 200 กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันเทียบกับยาโลวาสแตทิน 6 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันและให้อาหารไขมันมาก

ใบมะรุม 100 กรัม  (คุณค่าทางโภชนาการของอาหารอินเดีย พ.ศ. 2537)

พลังงาน           26 แคลอรี
โปรตีน             6.7 กรัม (2 เท่าของนม)
ไขมัน               0.1 กรัม
ใยอาหาร           4.8 กรัม http://thaiherbclinic.com/node/141
คาร์โบไฮเดรต     3.7 กรัม
วิตามินเอ           6,780 ไมโครกรัม (3 เท่าของแครอต)
วิตามินซี           220 มิลลิกรัม (7 เท่าของส้ม)
แคโรทีน           110 ไมโครกรัม
แคลเซียม         440 มิลลิกรัม (เกิน 3 เท่าของนม)
ฟอสฟอรัส         110 มิลลิกรัม
เหล็ก               0.18 มิลลิกรัม
แมกนีเซียม       28 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม       259 มิลลิกรัม (3 เท่าของกล้วย)
ทั้งนี้ กลุ่มที่กินมะรุมและยามีคอเลสเทอรอลฟอสโฟไลพิด ไตรกลีเซอไรด์ VLDL LDL ปริมาณคอเลสเทอรอลต่อฟอสโฟไลพิด และ atherogenic index ต่ำลง ทั้ง 2 กลุ่มมีการสะสมไขมันในตับ หัวใจ และหลอดเลือดแดงใหญ่ (เอออร์ตา) โดย
กลุ่มควบคุมปัจจัยด้านการสะสมไขมันในอวัยวะเหล่านี้ไม่มีค่าลดลงแต่อย่างใด กลุ่มที่กินมะรุมพบการขับคอเลสเทอรอลในอุจจาระเพิ่มขึ้น ผู้วิจัยจึงสรุปว่าการกินมะรุมมีผลลดไขมันในร่างกาย
ที่ประเทศอินเดียมีการใช้ใบมะรุมลดไขมันในคนที่มีโรคอ้วนมาแต่เดิม การศึกษาการกินสารสกัดใบมะรุมในหนูที่กินอาหารไขมันสูงมีปริมาณคอเลสเทอรอลในเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญเทียบกับกลุ่มควบคุม นอกจากนี้กลุ่มทดลองมีปริมาณไขมันในตับและไตลดลง
สรุปว่าการให้ใบมะรุมเพื่อลดปริมาณไขมันทางการแพทย์อินเดียสามารถวัดผลได้ในเชิงวิทยาศาสตร์จริง
ฤทธิ์ป้องกันตับ งานวิจัยการให้สารสกัดแอลกอฮอล์ของใบมะรุมกรณีทำให้ตับหนูทดลองเกิดความเสียหายโดยไรแฟมไพซิน พบว่าสารสกัดใบมะรุมมีฤทธิ์ป้องกันตับ โดยมีผลกับระดับเอนไซม์แอสาเทตอะมิโนทรานสเฟอเรส อะลานีน
ทรานมิโนทรานสเฟอเรส อัลคาไลน์ฟอสฟาเทส และบิลิรูบินในเลือด และมีผลกับปริมาณไลพิดและไลพิดเพอร์ออกซิเดสในตับ โดยดูผลยืนยันจากการตรวจชิ้นเนื้อตับ สารสกัดใบมะรุมและซิลิมาริน (silymarin กลุ่มควบคุมบวก) มีผลช่วยการพักฟื้นของการถูกทำลายของตับจากยาเหล่านี้

วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554

อาหารล้างสารพิษในร่างกาย

สุดยอดอาหารล้างพิษ 20 ชนิด

คนโบราณและนักโภชนาการมักกล่าวว่าอาหารเป็นยาที่วิเศษสุด หากได้ทราบว่าอาหารประเภทใดสามารถช่วยล้างพิษได้ คุณอาจจะต้องประหลาดใจ เพราะอาหารเหล่านั้นอาจเป็นอาหารโปรดที่เรากินกันเป็นปกติอยู่แล้ว บางอย่างก็หาได้ง่าย แถมราคาไม่แพงด้วย อาหารเหล่านี้ช่วยล้างพิษให้แก่อวัยวะต่างๆ ในร่างกาย เช่น ตับ ลำไส้ ไต ผิวหนัง ช่วยป้องกันการจับตัวของสารพิษ รวมถึงช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย ซึ่งสารพิษต่างๆ ที่สะสมอยู่ในร่างกายอาจมาจากควันพิษในอากาศ สารเจือปนในอาหาร เช่น สีผสมอาหาร สารกันเสีย ยาฆ่าแมลง ปรุงรส เป็นต้น คราวนี้ลองมาดูกันว่าอาหารชนิดใดสามารถช่วยล้างพิษให้คุณได้บ้าง

1.กล้วย
มีคุณสมบัติในการบำรุงและสร้างความแข็งแรงแก่กระเพาะอาหาร ในขณะเดียวกันก็ให้เกลือแร่ที่จำเป็นแก่ร่างกาย เช่น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียมช่วยควบคุมระดับของเหลวในร่างกายโดยช่วยขับของเหลว หรือสารพิษส่วนเกิออกจากร่างกายโดยช่วยขับของเปลว หรือสารพิษส่วนเกินออกจากร่างกายได้ดีขึ้น การกินกล้วยเป็นประจำยังช่วยป้องกันท้องผูก ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติอีกด้วย



.2 อัลมอนด์
เป็นถั่วที่มีใยอาหารสูง มีแคลเซียมและโปรตีนที่ดีต่อร่างกาย แม้จะมีไขมัน แต่ก็เป็นไขมันที่ดีและจำเป็นต่อร่างกาย ในระหว่างที่เราทำการล้างพิษจึงควรกินอัลมอนด์ นอกจากนี้อัลมอนด์ยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูงก็จะเกิดอาการไฮเปอร์ไกลซีเมีย ( Hyperglycemia ) ทำให้รู้สึกหิวน้ำมากกว่าปกติ หายใจไม่ออก ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และหากน้ำตาลในเลือดต่ำที่เรียกว่า ไฮโปไกลซีเมีย( Hypoglycemia ) จะทำให้เกิดอาการหน้ามืด เป็นลม ใจสั่น ไม่มีแรง คิดอะไรไม่ออก

3. แอปเปิล
ประกอบไปด้วยเพกตินสูง เพกตินเป็นไฟเบอร์ชนิดหนึ่งที่ช่วยจับคอเลสเตอรอลและโลหะหนักในร่างกายที่ปะปนมากับอาหาร เช่น ปรอท ตะกั่ว ซึ่งทำลายเซลล์สมอง นี่คือเหตุผลที่เราควรจะกินแอปเบิลเพื่อล้างสารพิษออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังมีคุณประโยชน์ช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส จากการศึกษาทดลองยังพบว่าแอปเปิลช่วยขับสารเคมีที่ปนเปื้อนในอาหาร ซึ่งก่อให้เกิดอาการแพ้ในเด็ก และทำให้เกิดไมเกรนในผู้ใหญ่ได้

4. ตำลึง
ผักใบเขียวที่ขึ้นข้างรั้ว หาง่าย และราคาไม่แพงนี้ ในสมัยก่อนเรามักนำมาทำแกงจืดตำลึงโดยใสเนื้อสัตว์น้อยๆ แต่ปัจจุบันดูเหมือนว่าแกงจืดตำลึงจะมีตำลึงอยู่ไม่กี่ใบ และมีหมูสับเต็มไปหมด ซึ่งตำลึงมีคุณสมบัติ ช่วยผลิตน้ำดีที่จะทำให้ลำไส้ขับสารพิษออกจากร่างกายได้ดีขึ้น นอกจากนี้สารที่มีอยู่ในตำลึงยังช่วยให้ตับสลายไขมันในร่างกายด้วย



5. อะโวคาโดอาจยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่ปัจจุบันเราก็สามารถหาซื้ออะโวคาโดได้จากตลาดทั่วไป ในอะโวคาโดมีสารกลูตาไทโอน( Glutathione ) ที่สามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลและป้องกันหลอดเลือดอุดตัน ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น ทั้งช่วยจับสารพิษที่เป็นตัวก่อให้เกิดมะเร็งกว่า 30 ชนิด และขณะเดียวกันก็ช่วยให้ตับกำจัดของเสียจำพวกสารเคมีและโลหะหนัก ซึ่งนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ( University of Michigan ) พบว่าผู้สูงอายุซึ่งกินอาหารที่มีสารกลูตาไทโอนสูงจะมีสุขภาพดีกว่าคนที่ไม่ได้กิน และมีอัตราการเกิดโรคหัวใจ                                     น้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นตร์

6. บีตรูต
ผักสีแดงที่นิยมใส่ในสลัดนี้นับเป็นผักมหัศจรรย์ซึ่งเประกอบไปด้วยไฟโรเคมีคอล ( Phytochemical ) วิตามินและเกลือแร่หลายชนิด ซึ่งทำให้บีตรูตมีคุณสมบัติต่อต้านชื้อโรค ทำความสะอาดเลือด ทำความสะอาดตับและระบบน้ำเหลือง อีกทั้งมีคุณสมบัติพิเศษที่ส่งเสริมให้ร่างกายรับออกซิเจนได้มากขึ้น จึงช่วยกำจัดของเสียได้ง่ายและเร็วขึ้น ซึ่งจากกการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้พบว่าบีตรูตช่วยปรับระดับกรด-ด่าง ในเลือดให้สมดุลด้วย

7. กะหล่ำ
เต็มไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งและอนุมูลอิสระ ( Antioxidant ) และช่วยตับขับฮอร์โมนที่มากเกินไป ซึ่งอาจเป็นฮอร์โมนความเครียดที่มีผลเสียต่อร่างกาย ทั้งยังช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหาร รักษาและปกป้องกระเพราะอาหารจากแบคทีเรียและไวรัสต่างๆ พืชตระกูลกะหล่ำ ได้แก่ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลี และกะหล่ำปม ผักเหล่านี้ช่วยทำความสะอาดร่างกายและช่วยกำจัดของเสียจากสิ่งแวดล้อม เช่น ของเสียจากควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสีย และช่วยให้ตับผลิตเอนไซม์ออกมาให้เพียงพอในการกำจัดของเสีย

8. บลูเบอร์รี่
เป็นผลไม้ที่มีค่าแอนติออกซิแดนต์สูงมากชนิดหนึ่งและถือเป็นหนึ่งในสุดยอดอาหารรักษาโรค เนื่องจากในบลูเบอร์รี่มีสารแอสไพรินตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยลดการระคายเคือง สารที่มีในบลูเบอร์รี่สามารถเข้าไปขัดขวางแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ ส่งผลให้ลดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ

9. กระเทียม
จากหลายการศึกษาให้ผลตรงกันถึงคุณสมบัติของกระเทียมในการทำความสะอาดร่างกาย นั่นคือ การกินกระเทียมเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ขับและฆ่าพยาธิในทางเดินอาหาร และฆ่าเชื้อไวรัส โดยเฉพาะทำความสะอาดเลือดและระบบลำไส้ ทำให้เส้นเลือดมีความยืดหยุ่นและลดแรงดันโลหิต นอกจากนี้ยังต่อต้านการเกิดมะเร็งและทำให้ระบบทางเดินหายใจดีขึ้น แต่ก็ควรระวังเรื่องการกินกระเทียมมากเกินไป ซึ่งก่อให้เกิดลมหายใจที่มีกลิ่นกระเทียมไปด้วย

10. ส้มโอ หรือเกรปฟรุต
เป็นผลไม้รสชาติดีที่ได้รับความนิยมในอาหารมื้อเช้าของชาวตะวันตก สารเพกตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ประเภทหนึ่งในเกรปฟรุต สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ก่อนที่จะจับตัวเป็นก้อนและขวางทางเดินในหลอดเลือด นอกจากนี้เพกตินยังสามารถช่วยป้องกันไม่ให้โลหะหนักเหล่านี้ทำอันตรายต่อร่างกาย ส่วนเกรปฟรุตช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งกระเพราะอาหารและมะเร็งตับอ่อน สารต้านอนุมูลอิสระในเกรปฟรุตช่วยปกป้องสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

11. มะเขือพวง
คนไทยนิยมใส่มะเขือพวงในอาหารประเภทผัดเผ็ด แกงป่า แกงกะทิ และน้ำพริก สมัยก่อนแกงกะทิเช่นแกงไก่ใส่มะเขือพวงเต็มไปด้วย ใส่ไก่น้อยเน้นการกินมะเขือเป็นหลัก แต่ปัจจุบันกลับตรงกันข้าง แกงไก่มักใส่ไก่มากกว่ามะเขือ และคนก็เลือกกินแต่ไก่ จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้คนในปัจจุบันมีรูปร่างอ้วนกว่าคนสมัยก่อน มะเขือพวงเป็นผักที่เต็มไปด้วยไฟเบอร์ ซึ่งสามารถช่วยดูดซึมไขมันในอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยจับไขมันอิ่มตัว (ไขมันอันตราย) และขับออกจากร่างกายโดยระบบขับถ่าย ทั้งยังมีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระสูง จึงช่วยกำจัดของเสียออกจากระบบทางเดินอาหารได้เร็วขึ้นและลดการสะสมของเสีย

12. แครอต
เต็มไปด้วยสารอัลฟาและเบตาแคโรทีน ( Alpha and Beta-carotene ) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ วิตามินเอ และถือว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยมช่วยปกป้องร่างกายจากสารพิษในสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะช่วยระบบทางเดินประสาท สายตา ผิวหนัง ที่ต้องสัมผัสแสงแดเป็นประจำ และจากการวิจัยพบว่าสารในแครอตช่วยลดการเกิดมะเร็ง และช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจ และหัวใจแข็งแรงขึ้น



13. ขึ้นฉ่าย
ถือได้ว่าเป็นสุดยอดอาหารในการทำความสะอาดเลือดและช่วยลดความดันโลหิต สำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงควรกินขึ้นฉ่ายเป็นประจำ หรือถ้าจะให้ดีควรดื่มน้ำคั้นจากขึ้นฉ่ายสดในตอนเช้า เพื่อช่วยควบคุมระดับแรงดันเลือดให้คงที่ ในขึ้นฉ่ายยังประกอบไปด้วยสารต้านการเกิดมะเร็ง และสารที่ช่วยขับของเสียจากบุหรี่ในคนที่สูบบุหรี่หรือผู้ที่ได้รับควันบุหรี่ด้วย

14. พืชตระกูลถั่ว
(เช่นถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง และถั่วขาว) จากการศึกษาพบว่าผู้ที่กินถั่วเป็นประจำมีระดับคอเลสเตอรอลน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้กิน และลดอัตราความเสียงต่อการเกิดโรคหัวใจด้วย พืชตระกูลถั่วนี้ประกอบด้วยไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ทำความสะอาดลำไส้ ลดการสะสมของสารพิษในลำไส้ และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ อีกทั้งช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้และมะเร็งต่อมลูกหมากด้วย


15. ทับทิม
ตำราแพทย์แผนโบราณของชาวเอเชียกล่าวไว้ว่า การดื่มน้ำทับทิมสามรถรักษาอาการอักเสบและลดความปวดได้ เนื่องจากในทับทิมมีสารแอสไพรินซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกันกับแอสไพรินในยาแก้ปวด ช่วยล้าง พิษลดการติดเชื้อของเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย และลดอาการอักเสบ สำหรับผู้ที่มีอาการไขข้ออักเสบ ปวดบวม ช้ำ แนะนำให้กินทับทิม เพราะช่วยลดอาการปวดลงได้ ขณะเดียวกันยังมีไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยให้ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้ดีขึ้น



16. กระเจี๊ยบ
น้ำกระเจี๊ยบมีคุณสมบัติช่วยทำความสะอาดแบคทีเรียและไวรัสออกจากระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งมักก่อให้เกิดการติดเชื้อ ทำให้มีอาการปัสสาวะไม่ออกหรือมีเลือดปน หรือมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ซึ่งสารในกระเจี๊ยบสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสเหล่านั้นได้



17. เมล็ดแฟลกซ์
ประกอบไปด้วยกรดไขมันที่จำเป็นอย่างโอเมกา 3 ซึ่งมีประโยชน์ต่อสมอง ช่วยบำรุงความจำ และมีผลดีต่อหัวใจเพราะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล นอกจากนี้ยังมีสารอื่นที่ช่วยทำให้ภูมิคุ้มกันร่างการแข็งแรงขึ้น






18. มะนาว
เป็นสุดยอดอาหารที่ช่วยทำความสะอาดตับ มีวิตามินซีสูง น้ำมะนาวสดเมื่อนำมาผสมกับน้ำอุ่นแล้วดื่มตอนเช้าหลังตื่นนอนจะช่วยล้างพิษและทำให้เลือดสะอาดขึ้น แต่ถ้านำน้ำมะนาวสดผสมกับโยเกิร์ตและน้ำผึ้ง ก็จะเป็นอาหารที่ช่วยล้างพิษในลำไส้และป้องกันอาการท้องผูกได้อีกด้วย


19. หัวหอม
ประกอบไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งหลายชนิด และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยทำความสะอาดเลือด ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LD ซึ่งไม่ดีเพราะเป็นตัวการก่อให้เกิดโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานดีขึ้น ช่วยรักษาโรคหอบ โรคทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ และที่สำคัญคือช่วยรักษาโรค เบาหวานโดยช่วยให้ระดับน้ำตาลคงที่





20. สาหร่าย
เป็นพืชสีเขียวในทะเลที่หลายคนมองข้ามคุณประโยชน์ แต่จากการศึกษาของ Mcgill University ที่ Montreal แสดงผลว่าสาหร่ายสามารถจับของเสียจากรังสีที่สะสมในร่างกาย ในปัจจุบันเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงรังสีต่างๆ จากคลื่นวิทยุ คลื่นโทรศัพท์ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และคลื่นไมโครเวฟทั้งหลายได้ ซึ่งพลังงานความร้อนเหล่านี้เป็นอันตรายต่อร่างกาย ก่อให้เกิดมะเร็งได้ ซึ่งสาหร่ายจะช่วยดูดซึมคลื่นรังสีเหล่านั้น และสามารถจับกับพวกโลหะหนักได้ด้วย นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยโปรตีนและเกลือแร่ในปริมาณมาก

สุขภาพดีแบบแม็คโครไบโอติกส์

สุขภาพดีแบบแม็คโครไบโอติกส์


อาหารเพื่อสุขภาพ



          การกินที่รักษาได้แม้กระทั่งมะเร็ง

          จะมีใครรู้บ้างว่าโรคยอดฮิตต่าง ๆ ในทุกวันนี้ อย่างมะเร็ง เบาหวาน ข้ออักเสบ โรคหัวใจ นั้นมีสาเหตุหนึ่งมาจากอาหารและวิถีชีวิตที่เร่งรีบเกินไปของเรา

          เพราะอาหารทุกวันนี้ออกไปทางความหวานจัด เค็มจัด มันจัด และเปี่ยมไปด้วยผงชูรส ซึ่งอาหารแบบนี้ล้วนทำให้ร่างกายเรามีภาวะความเป็นกรดด่างไม่ปกติ เป็นที่มาของโรคทั้งหลาย เราจึงขอเสนอทางเลือกด้านอาหารสำหรับคุณ มันคือ "แม็คโครไบโอติกส์"

แมคโครไบโอติกส์คืออะไร

          แมคโครไบโอติกส์ (Macrobiotics) มาจากภาษากรีกโบราณ ประกอบด้วย "แมคโคร" (macro) ที่แปลว่ายิ่งใหญ่หรือยืนยาว และ "ไบโอส์" (bios) ที่แปลว่า ชีวิต แมคโครไบโอติกส์ไม่ใช่เรื่องใหม่ พบว่าการใช้คำนี้ตั้งแต่สมัยของฮิปโปเครตีส (บิดาแห่งการแพทย์ตะวันตก) และต่อมา จอร์จ โอซาวา (1893-1966) ชาวญี่ปุ่นที่หายจากวัณโรคด้วยการกินแบบนี้ เป็นคนแรกที่ใช้คำว่าแม็คโครไบโอติกส์ และนำแนวคิดนี้ไปเผยแพร่ทั้งในยุโรปและอเมริกาเหนือ

          แมคโครไบโอติกส์ เป็นแนวคิดที่เกี่ยวกับความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งครอบคลุมทั้งอาหารการกินและวิถีชีวิตทุกด้าน เช่น การออกกำลังกายที่เหมาะสม การมองโลกในแง่ดี และอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ แต่สำหรับตรงนี้ขอพูดถึงเฉพาะอาหารแล้วกัน กลัวว่าเนื้อหายาวเกินไปคุณผู้อ่านจะเบื่อซะก่อน

ลักษณะอาหารแบบแมคโครไบโอติกส์

          จุดเด่นของอาหารแบบแมคโครไบโอติกส์คือ การสร้างความสมดุลให้ร่างกาย โดยใช้วิธีการปรุงอาหารแบบสมัยก่อนไว้ให้มากที่สุด นั่นคือใช้วัตถุดิบตามธรรมชาติ เลี่ยงการใช้สิ่งอำนวยความสะดวกในทุกขั้นตอนของการผลิต ตั้งแต่การเพาะปลูกวัตถุดิบจนปรุงเสร็จเป็นจาน ซึ่งมีอัตราส่วนต่อมื้อในลักษณะแบบนี้

          ธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี 50-60%
          ผักต่าง ๆ 20-30%
          ถั่วชนิดต่าง ๆ 5-10%
          แกงจืด (จากถั่วเหลืองหมัก ผัก ปลา) 5-10%

          ข้าวกล้อง ถั่ว งา ผัก ที่ใช้ทำอาหารล้วนปลูกแบบไม่ใช้สารเคมี และการปรุงก็หลีกเลี่ยงเตาไมโครเวฟหรือการทอด และเอกลักษณ์อีกอย่างของอาหารแบบนี้คือ รสชาติดั้งเดิมของอาหารชนิดนั้น ๆ โดยที่แทบจะไม่แต่งเติม


อาหารเพื่อสุขภาพ


ประโยชน์ของแมคโครไบโอติกส์

          จากหนังสือ "อาหารแมคโครไบโอติกส์" ของกรมพัฒนาแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข มีข้อมูลยืนยันว่า อาหารดั้งเดิมแบบนี้สามารถเยียวยาอาการของโรคหัวใจ เบาหวาน หอบหืด และโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดี และสำหรับคนที่ยังไม่ป่วย การกินอาหารแบบนี้ก็ช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกาย และลดอัตราการเกิดโรคต่าง ๆ ได้ด้วย

          แต่หากใครที่เงื่อนไขไม่เอื้ออำนวยให้กินแบบนี้ทุกมื้อ ขอให้คุณทดลองกินแค่อาทิตย์ละสองถึงสามครั้ง อย่างวันหยุดที่พอมีเวลา คุณอาจจะมีเวลาไปเลือกซื้อของแล้วมาทำอาหารให้กับคนที่บ้าน ได้กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพแบบนี้

          ลองดูนะครับแม้รสชาติจะชืด ๆ ไม่คุ้นลิ้นอยู่บ้าง แต่กินแบบนี้ล่ะครับ
จะทำให้สุขภาพของคุณดีขึ้น อย่างที่คุณรู้สึกได้ด้วยตัวเอง  
http://www.thaicam.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=276:2009-10-12-05-23-55&catid=55:2009-09-09-09-46-51&Itemid=96