บล็อกนี้จัดทำขึ้นในการเรียนการสอนรายวิชาอินเทอร์เน็ตและการสื่อสารในชีวิตประจำวันมหาวิทยาลัยมหาสารคาม



งานราตรีชมพูอมส้ม54 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิยาลัยมหาสารคาม

วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554

อาหารล้างสารพิษในร่างกาย

สุดยอดอาหารล้างพิษ 20 ชนิด

คนโบราณและนักโภชนาการมักกล่าวว่าอาหารเป็นยาที่วิเศษสุด หากได้ทราบว่าอาหารประเภทใดสามารถช่วยล้างพิษได้ คุณอาจจะต้องประหลาดใจ เพราะอาหารเหล่านั้นอาจเป็นอาหารโปรดที่เรากินกันเป็นปกติอยู่แล้ว บางอย่างก็หาได้ง่าย แถมราคาไม่แพงด้วย อาหารเหล่านี้ช่วยล้างพิษให้แก่อวัยวะต่างๆ ในร่างกาย เช่น ตับ ลำไส้ ไต ผิวหนัง ช่วยป้องกันการจับตัวของสารพิษ รวมถึงช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย ซึ่งสารพิษต่างๆ ที่สะสมอยู่ในร่างกายอาจมาจากควันพิษในอากาศ สารเจือปนในอาหาร เช่น สีผสมอาหาร สารกันเสีย ยาฆ่าแมลง ปรุงรส เป็นต้น คราวนี้ลองมาดูกันว่าอาหารชนิดใดสามารถช่วยล้างพิษให้คุณได้บ้าง

1.กล้วย
มีคุณสมบัติในการบำรุงและสร้างความแข็งแรงแก่กระเพาะอาหาร ในขณะเดียวกันก็ให้เกลือแร่ที่จำเป็นแก่ร่างกาย เช่น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียมช่วยควบคุมระดับของเหลวในร่างกายโดยช่วยขับของเหลว หรือสารพิษส่วนเกิออกจากร่างกายโดยช่วยขับของเปลว หรือสารพิษส่วนเกินออกจากร่างกายได้ดีขึ้น การกินกล้วยเป็นประจำยังช่วยป้องกันท้องผูก ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติอีกด้วย



.2 อัลมอนด์
เป็นถั่วที่มีใยอาหารสูง มีแคลเซียมและโปรตีนที่ดีต่อร่างกาย แม้จะมีไขมัน แต่ก็เป็นไขมันที่ดีและจำเป็นต่อร่างกาย ในระหว่างที่เราทำการล้างพิษจึงควรกินอัลมอนด์ นอกจากนี้อัลมอนด์ยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูงก็จะเกิดอาการไฮเปอร์ไกลซีเมีย ( Hyperglycemia ) ทำให้รู้สึกหิวน้ำมากกว่าปกติ หายใจไม่ออก ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และหากน้ำตาลในเลือดต่ำที่เรียกว่า ไฮโปไกลซีเมีย( Hypoglycemia ) จะทำให้เกิดอาการหน้ามืด เป็นลม ใจสั่น ไม่มีแรง คิดอะไรไม่ออก

3. แอปเปิล
ประกอบไปด้วยเพกตินสูง เพกตินเป็นไฟเบอร์ชนิดหนึ่งที่ช่วยจับคอเลสเตอรอลและโลหะหนักในร่างกายที่ปะปนมากับอาหาร เช่น ปรอท ตะกั่ว ซึ่งทำลายเซลล์สมอง นี่คือเหตุผลที่เราควรจะกินแอปเบิลเพื่อล้างสารพิษออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังมีคุณประโยชน์ช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส จากการศึกษาทดลองยังพบว่าแอปเปิลช่วยขับสารเคมีที่ปนเปื้อนในอาหาร ซึ่งก่อให้เกิดอาการแพ้ในเด็ก และทำให้เกิดไมเกรนในผู้ใหญ่ได้

4. ตำลึง
ผักใบเขียวที่ขึ้นข้างรั้ว หาง่าย และราคาไม่แพงนี้ ในสมัยก่อนเรามักนำมาทำแกงจืดตำลึงโดยใสเนื้อสัตว์น้อยๆ แต่ปัจจุบันดูเหมือนว่าแกงจืดตำลึงจะมีตำลึงอยู่ไม่กี่ใบ และมีหมูสับเต็มไปหมด ซึ่งตำลึงมีคุณสมบัติ ช่วยผลิตน้ำดีที่จะทำให้ลำไส้ขับสารพิษออกจากร่างกายได้ดีขึ้น นอกจากนี้สารที่มีอยู่ในตำลึงยังช่วยให้ตับสลายไขมันในร่างกายด้วย



5. อะโวคาโดอาจยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่ปัจจุบันเราก็สามารถหาซื้ออะโวคาโดได้จากตลาดทั่วไป ในอะโวคาโดมีสารกลูตาไทโอน( Glutathione ) ที่สามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลและป้องกันหลอดเลือดอุดตัน ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น ทั้งช่วยจับสารพิษที่เป็นตัวก่อให้เกิดมะเร็งกว่า 30 ชนิด และขณะเดียวกันก็ช่วยให้ตับกำจัดของเสียจำพวกสารเคมีและโลหะหนัก ซึ่งนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ( University of Michigan ) พบว่าผู้สูงอายุซึ่งกินอาหารที่มีสารกลูตาไทโอนสูงจะมีสุขภาพดีกว่าคนที่ไม่ได้กิน และมีอัตราการเกิดโรคหัวใจ                                     น้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นตร์

6. บีตรูต
ผักสีแดงที่นิยมใส่ในสลัดนี้นับเป็นผักมหัศจรรย์ซึ่งเประกอบไปด้วยไฟโรเคมีคอล ( Phytochemical ) วิตามินและเกลือแร่หลายชนิด ซึ่งทำให้บีตรูตมีคุณสมบัติต่อต้านชื้อโรค ทำความสะอาดเลือด ทำความสะอาดตับและระบบน้ำเหลือง อีกทั้งมีคุณสมบัติพิเศษที่ส่งเสริมให้ร่างกายรับออกซิเจนได้มากขึ้น จึงช่วยกำจัดของเสียได้ง่ายและเร็วขึ้น ซึ่งจากกการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้พบว่าบีตรูตช่วยปรับระดับกรด-ด่าง ในเลือดให้สมดุลด้วย

7. กะหล่ำ
เต็มไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งและอนุมูลอิสระ ( Antioxidant ) และช่วยตับขับฮอร์โมนที่มากเกินไป ซึ่งอาจเป็นฮอร์โมนความเครียดที่มีผลเสียต่อร่างกาย ทั้งยังช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหาร รักษาและปกป้องกระเพราะอาหารจากแบคทีเรียและไวรัสต่างๆ พืชตระกูลกะหล่ำ ได้แก่ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลี และกะหล่ำปม ผักเหล่านี้ช่วยทำความสะอาดร่างกายและช่วยกำจัดของเสียจากสิ่งแวดล้อม เช่น ของเสียจากควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสีย และช่วยให้ตับผลิตเอนไซม์ออกมาให้เพียงพอในการกำจัดของเสีย

8. บลูเบอร์รี่
เป็นผลไม้ที่มีค่าแอนติออกซิแดนต์สูงมากชนิดหนึ่งและถือเป็นหนึ่งในสุดยอดอาหารรักษาโรค เนื่องจากในบลูเบอร์รี่มีสารแอสไพรินตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยลดการระคายเคือง สารที่มีในบลูเบอร์รี่สามารถเข้าไปขัดขวางแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ ส่งผลให้ลดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ

9. กระเทียม
จากหลายการศึกษาให้ผลตรงกันถึงคุณสมบัติของกระเทียมในการทำความสะอาดร่างกาย นั่นคือ การกินกระเทียมเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ขับและฆ่าพยาธิในทางเดินอาหาร และฆ่าเชื้อไวรัส โดยเฉพาะทำความสะอาดเลือดและระบบลำไส้ ทำให้เส้นเลือดมีความยืดหยุ่นและลดแรงดันโลหิต นอกจากนี้ยังต่อต้านการเกิดมะเร็งและทำให้ระบบทางเดินหายใจดีขึ้น แต่ก็ควรระวังเรื่องการกินกระเทียมมากเกินไป ซึ่งก่อให้เกิดลมหายใจที่มีกลิ่นกระเทียมไปด้วย

10. ส้มโอ หรือเกรปฟรุต
เป็นผลไม้รสชาติดีที่ได้รับความนิยมในอาหารมื้อเช้าของชาวตะวันตก สารเพกตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ประเภทหนึ่งในเกรปฟรุต สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ก่อนที่จะจับตัวเป็นก้อนและขวางทางเดินในหลอดเลือด นอกจากนี้เพกตินยังสามารถช่วยป้องกันไม่ให้โลหะหนักเหล่านี้ทำอันตรายต่อร่างกาย ส่วนเกรปฟรุตช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งกระเพราะอาหารและมะเร็งตับอ่อน สารต้านอนุมูลอิสระในเกรปฟรุตช่วยปกป้องสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

11. มะเขือพวง
คนไทยนิยมใส่มะเขือพวงในอาหารประเภทผัดเผ็ด แกงป่า แกงกะทิ และน้ำพริก สมัยก่อนแกงกะทิเช่นแกงไก่ใส่มะเขือพวงเต็มไปด้วย ใส่ไก่น้อยเน้นการกินมะเขือเป็นหลัก แต่ปัจจุบันกลับตรงกันข้าง แกงไก่มักใส่ไก่มากกว่ามะเขือ และคนก็เลือกกินแต่ไก่ จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้คนในปัจจุบันมีรูปร่างอ้วนกว่าคนสมัยก่อน มะเขือพวงเป็นผักที่เต็มไปด้วยไฟเบอร์ ซึ่งสามารถช่วยดูดซึมไขมันในอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยจับไขมันอิ่มตัว (ไขมันอันตราย) และขับออกจากร่างกายโดยระบบขับถ่าย ทั้งยังมีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระสูง จึงช่วยกำจัดของเสียออกจากระบบทางเดินอาหารได้เร็วขึ้นและลดการสะสมของเสีย

12. แครอต
เต็มไปด้วยสารอัลฟาและเบตาแคโรทีน ( Alpha and Beta-carotene ) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ วิตามินเอ และถือว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยมช่วยปกป้องร่างกายจากสารพิษในสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะช่วยระบบทางเดินประสาท สายตา ผิวหนัง ที่ต้องสัมผัสแสงแดเป็นประจำ และจากการวิจัยพบว่าสารในแครอตช่วยลดการเกิดมะเร็ง และช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจ และหัวใจแข็งแรงขึ้น



13. ขึ้นฉ่าย
ถือได้ว่าเป็นสุดยอดอาหารในการทำความสะอาดเลือดและช่วยลดความดันโลหิต สำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงควรกินขึ้นฉ่ายเป็นประจำ หรือถ้าจะให้ดีควรดื่มน้ำคั้นจากขึ้นฉ่ายสดในตอนเช้า เพื่อช่วยควบคุมระดับแรงดันเลือดให้คงที่ ในขึ้นฉ่ายยังประกอบไปด้วยสารต้านการเกิดมะเร็ง และสารที่ช่วยขับของเสียจากบุหรี่ในคนที่สูบบุหรี่หรือผู้ที่ได้รับควันบุหรี่ด้วย

14. พืชตระกูลถั่ว
(เช่นถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง และถั่วขาว) จากการศึกษาพบว่าผู้ที่กินถั่วเป็นประจำมีระดับคอเลสเตอรอลน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้กิน และลดอัตราความเสียงต่อการเกิดโรคหัวใจด้วย พืชตระกูลถั่วนี้ประกอบด้วยไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ทำความสะอาดลำไส้ ลดการสะสมของสารพิษในลำไส้ และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ อีกทั้งช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้และมะเร็งต่อมลูกหมากด้วย


15. ทับทิม
ตำราแพทย์แผนโบราณของชาวเอเชียกล่าวไว้ว่า การดื่มน้ำทับทิมสามรถรักษาอาการอักเสบและลดความปวดได้ เนื่องจากในทับทิมมีสารแอสไพรินซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกันกับแอสไพรินในยาแก้ปวด ช่วยล้าง พิษลดการติดเชื้อของเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย และลดอาการอักเสบ สำหรับผู้ที่มีอาการไขข้ออักเสบ ปวดบวม ช้ำ แนะนำให้กินทับทิม เพราะช่วยลดอาการปวดลงได้ ขณะเดียวกันยังมีไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยให้ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้ดีขึ้น



16. กระเจี๊ยบ
น้ำกระเจี๊ยบมีคุณสมบัติช่วยทำความสะอาดแบคทีเรียและไวรัสออกจากระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งมักก่อให้เกิดการติดเชื้อ ทำให้มีอาการปัสสาวะไม่ออกหรือมีเลือดปน หรือมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ซึ่งสารในกระเจี๊ยบสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสเหล่านั้นได้



17. เมล็ดแฟลกซ์
ประกอบไปด้วยกรดไขมันที่จำเป็นอย่างโอเมกา 3 ซึ่งมีประโยชน์ต่อสมอง ช่วยบำรุงความจำ และมีผลดีต่อหัวใจเพราะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล นอกจากนี้ยังมีสารอื่นที่ช่วยทำให้ภูมิคุ้มกันร่างการแข็งแรงขึ้น






18. มะนาว
เป็นสุดยอดอาหารที่ช่วยทำความสะอาดตับ มีวิตามินซีสูง น้ำมะนาวสดเมื่อนำมาผสมกับน้ำอุ่นแล้วดื่มตอนเช้าหลังตื่นนอนจะช่วยล้างพิษและทำให้เลือดสะอาดขึ้น แต่ถ้านำน้ำมะนาวสดผสมกับโยเกิร์ตและน้ำผึ้ง ก็จะเป็นอาหารที่ช่วยล้างพิษในลำไส้และป้องกันอาการท้องผูกได้อีกด้วย


19. หัวหอม
ประกอบไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งหลายชนิด และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยทำความสะอาดเลือด ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LD ซึ่งไม่ดีเพราะเป็นตัวการก่อให้เกิดโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานดีขึ้น ช่วยรักษาโรคหอบ โรคทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ และที่สำคัญคือช่วยรักษาโรค เบาหวานโดยช่วยให้ระดับน้ำตาลคงที่





20. สาหร่าย
เป็นพืชสีเขียวในทะเลที่หลายคนมองข้ามคุณประโยชน์ แต่จากการศึกษาของ Mcgill University ที่ Montreal แสดงผลว่าสาหร่ายสามารถจับของเสียจากรังสีที่สะสมในร่างกาย ในปัจจุบันเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงรังสีต่างๆ จากคลื่นวิทยุ คลื่นโทรศัพท์ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และคลื่นไมโครเวฟทั้งหลายได้ ซึ่งพลังงานความร้อนเหล่านี้เป็นอันตรายต่อร่างกาย ก่อให้เกิดมะเร็งได้ ซึ่งสาหร่ายจะช่วยดูดซึมคลื่นรังสีเหล่านั้น และสามารถจับกับพวกโลหะหนักได้ด้วย นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยโปรตีนและเกลือแร่ในปริมาณมาก

สุขภาพดีแบบแม็คโครไบโอติกส์

สุขภาพดีแบบแม็คโครไบโอติกส์


อาหารเพื่อสุขภาพ



          การกินที่รักษาได้แม้กระทั่งมะเร็ง

          จะมีใครรู้บ้างว่าโรคยอดฮิตต่าง ๆ ในทุกวันนี้ อย่างมะเร็ง เบาหวาน ข้ออักเสบ โรคหัวใจ นั้นมีสาเหตุหนึ่งมาจากอาหารและวิถีชีวิตที่เร่งรีบเกินไปของเรา

          เพราะอาหารทุกวันนี้ออกไปทางความหวานจัด เค็มจัด มันจัด และเปี่ยมไปด้วยผงชูรส ซึ่งอาหารแบบนี้ล้วนทำให้ร่างกายเรามีภาวะความเป็นกรดด่างไม่ปกติ เป็นที่มาของโรคทั้งหลาย เราจึงขอเสนอทางเลือกด้านอาหารสำหรับคุณ มันคือ "แม็คโครไบโอติกส์"

แมคโครไบโอติกส์คืออะไร

          แมคโครไบโอติกส์ (Macrobiotics) มาจากภาษากรีกโบราณ ประกอบด้วย "แมคโคร" (macro) ที่แปลว่ายิ่งใหญ่หรือยืนยาว และ "ไบโอส์" (bios) ที่แปลว่า ชีวิต แมคโครไบโอติกส์ไม่ใช่เรื่องใหม่ พบว่าการใช้คำนี้ตั้งแต่สมัยของฮิปโปเครตีส (บิดาแห่งการแพทย์ตะวันตก) และต่อมา จอร์จ โอซาวา (1893-1966) ชาวญี่ปุ่นที่หายจากวัณโรคด้วยการกินแบบนี้ เป็นคนแรกที่ใช้คำว่าแม็คโครไบโอติกส์ และนำแนวคิดนี้ไปเผยแพร่ทั้งในยุโรปและอเมริกาเหนือ

          แมคโครไบโอติกส์ เป็นแนวคิดที่เกี่ยวกับความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งครอบคลุมทั้งอาหารการกินและวิถีชีวิตทุกด้าน เช่น การออกกำลังกายที่เหมาะสม การมองโลกในแง่ดี และอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ แต่สำหรับตรงนี้ขอพูดถึงเฉพาะอาหารแล้วกัน กลัวว่าเนื้อหายาวเกินไปคุณผู้อ่านจะเบื่อซะก่อน

ลักษณะอาหารแบบแมคโครไบโอติกส์

          จุดเด่นของอาหารแบบแมคโครไบโอติกส์คือ การสร้างความสมดุลให้ร่างกาย โดยใช้วิธีการปรุงอาหารแบบสมัยก่อนไว้ให้มากที่สุด นั่นคือใช้วัตถุดิบตามธรรมชาติ เลี่ยงการใช้สิ่งอำนวยความสะดวกในทุกขั้นตอนของการผลิต ตั้งแต่การเพาะปลูกวัตถุดิบจนปรุงเสร็จเป็นจาน ซึ่งมีอัตราส่วนต่อมื้อในลักษณะแบบนี้

          ธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี 50-60%
          ผักต่าง ๆ 20-30%
          ถั่วชนิดต่าง ๆ 5-10%
          แกงจืด (จากถั่วเหลืองหมัก ผัก ปลา) 5-10%

          ข้าวกล้อง ถั่ว งา ผัก ที่ใช้ทำอาหารล้วนปลูกแบบไม่ใช้สารเคมี และการปรุงก็หลีกเลี่ยงเตาไมโครเวฟหรือการทอด และเอกลักษณ์อีกอย่างของอาหารแบบนี้คือ รสชาติดั้งเดิมของอาหารชนิดนั้น ๆ โดยที่แทบจะไม่แต่งเติม


อาหารเพื่อสุขภาพ


ประโยชน์ของแมคโครไบโอติกส์

          จากหนังสือ "อาหารแมคโครไบโอติกส์" ของกรมพัฒนาแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข มีข้อมูลยืนยันว่า อาหารดั้งเดิมแบบนี้สามารถเยียวยาอาการของโรคหัวใจ เบาหวาน หอบหืด และโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดี และสำหรับคนที่ยังไม่ป่วย การกินอาหารแบบนี้ก็ช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกาย และลดอัตราการเกิดโรคต่าง ๆ ได้ด้วย

          แต่หากใครที่เงื่อนไขไม่เอื้ออำนวยให้กินแบบนี้ทุกมื้อ ขอให้คุณทดลองกินแค่อาทิตย์ละสองถึงสามครั้ง อย่างวันหยุดที่พอมีเวลา คุณอาจจะมีเวลาไปเลือกซื้อของแล้วมาทำอาหารให้กับคนที่บ้าน ได้กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพแบบนี้

          ลองดูนะครับแม้รสชาติจะชืด ๆ ไม่คุ้นลิ้นอยู่บ้าง แต่กินแบบนี้ล่ะครับ
จะทำให้สุขภาพของคุณดีขึ้น อย่างที่คุณรู้สึกได้ด้วยตัวเอง  
http://www.thaicam.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=276:2009-10-12-05-23-55&catid=55:2009-09-09-09-46-51&Itemid=96

เมนูอาหารเพื่อสุขภาพ

อาหารชีวจิตเพื่อสุขภาพ


อาหารชีวจิต คือ อาหารชั้นเดียว หมายถึง เป็นอาหารที่คงสภาพตามธรรมชาติเดิมไว้มากที่สุด โดยต้องผ่านการปรุงแต่งมากมาย และคงรสชาติเดิมๆของอาหารไว้มากที่สุด เช่นว่า ข้าว ก็เพียงแค่กระเทาะเปลือกออกกลายเป็นข้าวกล้อง ไม่ต้องขัดสีจนขาวจั๊วะ ทั้งนี้ อาหารชีวจิตไม่เกี่ยวกับเรื่องความเชื่อหรือบาปบุญคุณโทษ แต่เป็นการนำความรู้ทางโภชนาการขั้นสูงมาพิจารณาอาหารต่างๆ แล้วเลือกสรรเฉพาะอาหารที่ให้คุณค่าแก่ร่างกายและจิตใจมากที่สุด ที่สำคัญเป็นอาหารที่ก่อให้เกิดสารพิษ "ท็อกซิน - Toxin" ตกค้างน้อยที่สุด


คุณประโยชน์จากการรับประทานอาหารชีวจิต

1. เมื่อทานอาหารเจเป็นประจำ โลหิตจะถูกฟอกให้สะอาดขึ้นเรื่อยๆ เซลล์ต่างๆ ของร่างกายเสื่อมช้าลง ทำให้อายุยืนผิวพรรณผ่องใส นัยตาแจ่มใส ไม่พร่ามัว ร่างกายแข็งแรง รู้สึกเบาสบาย ไม่อึดอัด สุขภาพดี
2. ร่างกายสามารถขับถ่ายของเสียออกหมด ทำให้ไม่มีสารพิษตกค้างอยู่ภายใน สารอาหารที่มีคุณค่าในพืช ผักสดผลไม้ ช่วยทำให้การขับถ่ายและการย่อยเป็นปกติ
3. ในบรรดาผู้ที่รับประทานอาหารเจ, อาหารพืชผักเป็นประจำ ความเจ็บไข้ได้ป่วยมักไม่มีปรากฏ โดยเฉพาะโรคที่รุนแรงเรื้อรัง เช่น โรคมะเร็ง, โรคหัวใจ, ความดันโลหิตสูง, เส้นเลือดตีบ, ไขมันอุดตันในเส้นโลหิต, โรคไต, ไขข้ออักเสบ, โรคเกาต์, โรคเบาหวาน โรคที่เกี่ยวกับระบบขับถ่าย,ระบบย่อยอาหาร,และระบบทางเดินอาหาร เช่น โรคริดสีดวงทวาร, มะเร็งในกระเพาะและลำไส้, โรคกระเพาะ, อาหารไม่ย่อย โรคเหล่านี้จะไม่พบในผู้ที่รับประทานอาหารเจ อาหารพืชผักและผลไม้เป็นประจำ
4. อวัยวะหลักภายใน และอวัยวะประกอบทั้ง 5 แข็งแรง ทำงานได้เป็นปกติสมบูรณ์มีสมรรถภาพสูง (อวัยวะหลักภายในทั้ง 5 ได้แก่ หัวใจ,ไต,ม้าม,ตับ,ปอด อวัยวะประกอบทั้ง 5 ได้แก่ ลำไส้เล็ก, ลำไส้ใหญ่, กระเพาะปัสสาวะ, กระเพาะอาหาร, ถุงน้ำดี)
5. ร่างกายต้านทานต่อสารพิษต่างๆ ได้สูงกว่าคนปกติธรรมดาสารพิษที่ต่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้แก่
- จำพวกสารเคมี, ยากำจัดศัตรูพืช, ยาฆ่าแมลง, สาร DDT ฯลฯ
- สารอาหารในพืชผักช่วยให้เซลล์ต่างๆ ของร่างกายทนต่อการทำลายจากรังสีต่างๆ เช่น กัมมันตภาพรังสีที่เกิดจากการทดลองระเบิดนิวเคลียร์และในสงคราม
- ก๊าซพิษที่เกิดจากการเผาไหม้ในอุตสาหกรรม เครื่องจักรกล ฯลฯ


เมนูอาหารชีวจิตใน 7 วัน


วันจันทร์

เช้า น้ำส้มคั้น , ขนมปังโฮลวีทปิ้ง 2 แผ่นทาแยมหรือเนยถั่วหรือน้ำพริกเผา ,
กล้วยน้ำว้า 1 ลูก มะละกอ 1 ชิ้นยาว , ฝรั่งสุกครึ่งลูก
กลางวัน เย็นตาโฟประยุกต์ ผักบุ้งมากๆ เต้าหู้มากๆ , ผลไม้ , ถั่วกินเล่น
เย็น ข้าวซ้อมมือ , ผักน้ำพริกปลาเผา , ผัดถั่วงอกเต้าหู้ เห็ด ,
ยำเต้าหู้ใส่มันฝรั่ง ใส่ผักต่างๆ ใส่น้ำพริกเผา , แกงเลียง


วันอังคาร
เช้า น้ำแตงโม , ข้าวต้มซ้อมมือใส่เห็ดเป๋าฮื้อ , ผลไม้ - แอปเปิ้ลเขียว , มะละกอ 1 ชิ้น
กลางวัน แซนด์วิชเต้าหู้ , กล้วยน้ำว้า , ถั่วกินเล่น
เย็น ผักน้ำพริก , หน่อไม้ฝรั่งผัดซีอิ๊ว , แกงจืดเต้าหู้ขาว เห็ดหูหนู , ข้าวซ้อมมือ

วันพุธ

เช้า ข้าวต้มซ้อมมือ , ยำไชโป๊ว , เต้าหู้ยี้ , ปลาสลิด , น้ำส้มคั้นผสมมะนาว
กลางวัน สลัดมันฝรั่ง , ผักสดชิ้นยาว , กล้วยตาก , มะละกอ , สับปะรด
เย็น เมี่ยงปลาทูผักสด , ผัดเผ็ดเต้าหู้ , ผัดมะเขือยาวใส่เต้าเจี้ยว ใบแมงลัก

วันพฤหัสบดี

เช้า ขนมปังโฮลวีทปิ้ง 2 แผ่น , แยมผลไม้ , น้ำส้มคั้น
กลางวัน ข้าวผัดหนำเลี้ยบ , ผักสดจิ้มสลัด , ผลไม้
เย็น ถั่วแดงทรงเครื่อง , สลัดผัก , ซุปหัวหอม , ขนมปังปิ้ง , ผลไม้

วันศุกร์

เช้า ข้าวต้มซ้อมมือ , เต้าหู้ยี้ , ผักดองซีเซ็กฉ่าย , ผลไม้ , น้ำแครอท
กลางวัน ก๋วยเตี๋ยวเส้นฟักทองราดหน้า , ผลไม้
เย็น ยำถั่วหัวกลม , เต้าหู้ทอดราดหน้าเห็ด , ผัดผักรวมมิตร , ข้าวซ้อมมือ

วันเสาร์

เช้า ข้าวต้มซ้อมมือ , ยำกุ้งแห้ง , เต้าหู้ยี้ ,ผักดอง , นมถั่วเหลืองใส่วีทเยิรม์อบน้ำผึ้ง
, ผลไม้
กลางวัน ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย , ผลไม้ , ถั่วกินเล่น , น้ำแตงโม
เย็น สลัดปลาทูน่า น้ำมันมะกอก น้ำพริกเผา , ปลากะพงทอด ( ไม่ใส่น้ำมัน )
ยอดมะกรูด ตะไคร้ ซ๊อสขาว , ถั่วทรงเครื่องหน้าเห็ด หรือ
สตู ผักประดับ ( แครอท ไชเท้า ดอกกะหล่ำ สด - นึ่ง ) , มะนาวผสมน้ำผึ้ง
โซดา สะระแหน่ , ผลไม้ - แคนตาลู้ป , สตรอเบอรรี่ , เงาะ 3 ลูก

วันอาทิตย์

เช้า กล้วยน้ำว้า , ข้าวต้มเห็ดหอม , น้ำส้ม - น้ำมะนาว
กลางวัน ขนมจีนน้ำยาเห็ด เส้นโฮล ผักสดต่างๆ
เย็น ซุปเต้าหู้อ่อน , แกงเลียง , ยำมะเขือยาว กุ้งแห้ง มะม่วงดิบ กระเทียมดอง ,
บร็อคเคอรี่ผัดเต้าหู้ เห็ดเป๋าฮื้อ น้ำพริกป่า , ผักดิบ - ต้ม , ข้าวซ้อมมือ
http://www.cheewajit.com/articleView.aspx?cateId=3

10 วิธีการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี



ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่น ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก

1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง

2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี

3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว

4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ

6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล

7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%

8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย

9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด

10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้

ถ้าปฏิบัติให้ได้ครบทุกข้อตามคำแนะนำข้างต้นนี้จนเป็นนิสัย สุขภาพดีๆ จะไปไหนเสีย !!

อาหารคืออะไร



อาหาร หมายถึงสิ่งที่รับประทานเข้าสู่ร่างกายแล้วไม่เป็นโทษต่อร่างกายและมีประโยชน์โดยทำให้ร่างกายดำรงชีวิตได้อย่างปกติสุข และให้พลังงานแก่ร่างกาย ซึ่งพลังงานเหล่านี้นำมาใช้ในการดำเนินกิจกรรมและให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ประกอบด้วยสารอาหารหลายประเภท คือ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามิน และเกลือแร่









อาหารหลัก 5 หมู่

หมู่ที่ 1 เรียกว่า นม ไข่ เนื้อสัตว์ต่างๆ ถั่วเมล็ดแห้ง และงานให้สารอาหารโปรตีน ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ


หมู่ที่ 2 เรียกว่า ข้าว แป้ง เผือก มัน น้ำตาล ให้สารอาหารคาร์โบไฮเดรต เพื่อให้พลังงานแก่ร่างกาย


หมู่ที่ 3 เรียกว่า พืชผักต่างๆ ให้สารอาหารวิตามินและแร่ธาตุเพื่อเสริมสร้างการทำงานของร่างกายให้ปกติ


หมู่ที่ 4 เรียกว่า ผลไม้ต่างๆ ให้สารอาหารและประโยชน์เหมือนหมู่ที่ 3


หมู่ที่ 5 เรียกว่า น้ำมันและไขมันจากพืชและสัตว์ ให้สารอาหารไขมันเพื่อให้พลังงานและความอบอุ่นแก่ร่างกาย