สุขภาพดีแบบแม็คโครไบโอติกส์
การกินที่รักษาได้แม้กระทั่งมะเร็ง
จะมีใครรู้บ้างว่าโรคยอดฮิตต่าง ๆ ในทุกวันนี้ อย่างมะเร็ง เบาหวาน ข้ออักเสบ โรคหัวใจ นั้นมีสาเหตุหนึ่งมาจากอาหารและวิถีชีวิตที่เร่งรีบเกินไปของเรา
เพราะอาหารทุกวันนี้ออกไปทางความหวานจัด เค็มจัด มันจัด และเปี่ยมไปด้วยผงชูรส ซึ่งอาหารแบบนี้ล้วนทำให้ร่างกายเรามีภาวะความเป็นกรดด่างไม่ปกติ เป็นที่มาของโรคทั้งหลาย เราจึงขอเสนอทางเลือกด้านอาหารสำหรับคุณ มันคือ "แม็คโครไบโอติกส์"
แมคโครไบโอติกส์คืออะไร
แมคโครไบโอติกส์ (Macrobiotics) มาจากภาษากรีกโบราณ ประกอบด้วย "แมคโคร" (macro) ที่แปลว่ายิ่งใหญ่หรือยืนยาว และ "ไบโอส์" (bios) ที่แปลว่า ชีวิต แมคโครไบโอติกส์ไม่ใช่เรื่องใหม่ พบว่าการใช้คำนี้ตั้งแต่สมัยของฮิปโปเครตีส (บิดาแห่งการแพทย์ตะวันตก) และต่อมา จอร์จ โอซาวา (1893-1966) ชาวญี่ปุ่นที่หายจากวัณโรคด้วยการกินแบบนี้ เป็นคนแรกที่ใช้คำว่าแม็คโครไบโอติกส์ และนำแนวคิดนี้ไปเผยแพร่ทั้งในยุโรปและอเมริกาเหนือ
แมคโครไบโอติกส์ เป็นแนวคิดที่เกี่ยวกับความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งครอบคลุมทั้งอาหารการกินและวิถีชีวิตทุกด้าน เช่น การออกกำลังกายที่เหมาะสม การมองโลกในแง่ดี และอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ แต่สำหรับตรงนี้ขอพูดถึงเฉพาะอาหารแล้วกัน กลัวว่าเนื้อหายาวเกินไปคุณผู้อ่านจะเบื่อซะก่อน
ลักษณะอาหารแบบแมคโครไบโอติกส์
จุดเด่นของอาหารแบบแมคโครไบโอติกส์คือ การสร้างความสมดุลให้ร่างกาย โดยใช้วิธีการปรุงอาหารแบบสมัยก่อนไว้ให้มากที่สุด นั่นคือใช้วัตถุดิบตามธรรมชาติ เลี่ยงการใช้สิ่งอำนวยความสะดวกในทุกขั้นตอนของการผลิต ตั้งแต่การเพาะปลูกวัตถุดิบจนปรุงเสร็จเป็นจาน ซึ่งมีอัตราส่วนต่อมื้อในลักษณะแบบนี้
ธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี 50-60%
ผักต่าง ๆ 20-30%
ถั่วชนิดต่าง ๆ 5-10%
แกงจืด (จากถั่วเหลืองหมัก ผัก ปลา) 5-10%
ข้าวกล้อง ถั่ว งา ผัก ที่ใช้ทำอาหารล้วนปลูกแบบไม่ใช้สารเคมี และการปรุงก็หลีกเลี่ยงเตาไมโครเวฟหรือการทอด และเอกลักษณ์อีกอย่างของอาหารแบบนี้คือ รสชาติดั้งเดิมของอาหารชนิดนั้น ๆ โดยที่แทบจะไม่แต่งเติม
ประโยชน์ของแมคโครไบโอติกส์
จากหนังสือ "อาหารแมคโครไบโอติกส์" ของกรมพัฒนาแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข มีข้อมูลยืนยันว่า อาหารดั้งเดิมแบบนี้สามารถเยียวยาอาการของโรคหัวใจ เบาหวาน หอบหืด และโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดี และสำหรับคนที่ยังไม่ป่วย การกินอาหารแบบนี้ก็ช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกาย และลดอัตราการเกิดโรคต่าง ๆ ได้ด้วย
แต่หากใครที่เงื่อนไขไม่เอื้ออำนวยให้กินแบบนี้ทุกมื้อ ขอให้คุณทดลองกินแค่อาทิตย์ละสองถึงสามครั้ง อย่างวันหยุดที่พอมีเวลา คุณอาจจะมีเวลาไปเลือกซื้อของแล้วมาทำอาหารให้กับคนที่บ้าน ได้กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพแบบนี้
ลองดูนะครับแม้รสชาติจะชืด ๆ ไม่คุ้นลิ้นอยู่บ้าง แต่กินแบบนี้ล่ะครับ
จะทำให้สุขภาพของคุณดีขึ้น อย่างที่คุณรู้สึกได้ด้วยตัวเอง
http://www.thaicam.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=276:2009-10-12-05-23-55&catid=55:2009-09-09-09-46-51&Itemid=96
http://www.thaicam.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=276:2009-10-12-05-23-55&catid=55:2009-09-09-09-46-51&Itemid=96
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น