บล็อกนี้จัดทำขึ้นในการเรียนการสอนรายวิชาอินเทอร์เน็ตและการสื่อสารในชีวิตประจำวันมหาวิทยาลัยมหาสารคาม



งานราตรีชมพูอมส้ม54 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิยาลัยมหาสารคาม

วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2554

น้ำมะพร้าว...มีประโยชน์มากกว่าที่คิด

 
" น้ำมะพร้าว" ถือเป็นเครื่องดื่มเกลือแร่จากธรรมชาติ เพราะต้นมะพร้าวมีลำต้นสูง
ต้องผ่านการกลั่นกรองตามชั้นต่างๆ ของลำต้นกว่าจะถึงลูกมะพร้าวที่อยู่ข้างบน
น้ำมะพร้าวที่ได้มาจึงบริสุทธิ์มาก และอุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด เช่น โพแทสเซียม
เหล็ก โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ทองแดง กรดอะมิโน กรดอินทรีย์
และวิตามินบี แถมย ังมีน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ภายใน
5 นาที และยังเป็นประโยชน์ในการขับสารพิษและชำระล้างร่างกายด้วย

น้ำมะพร้าวช่วยชะลออาการอัลไซเมอร์
การดื่มน้ำมะพร้าวทุกวันจะช่วยชะลออาการอัลไซเมอร์ได้ จากผลงานวิจัยของ
ดร.นิซาอูดะห์ ระเด่นอาหมัด อาจารย์ประจำภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พบว่า ในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนคล้ายฮอร์โมนเพศหญิงหรือเอสโตรเจนสูง
ซึ่งมีผลช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมในสตรีวัยทอง นอกจากนี้ การดื่ม
น้ำมะพร้าวเป็นประจำทุกวันยังสามารถช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าปกติ
และไม่ทิ้งรอยแผลเป็นอีกด้วย

น้ำมะพร้าวช่วยให้ผิวพรรณสดใส
น้ำมะพร้าวสามารถช่วยเสริมสร้างความสวยใสของผิวพรรณ ทำให้เปล่งปลั่งและขาวนวลขึ้นจากภายในสู่ภายนอก
เพราะในน้ำมะพร้าวมีเอสโตรเจนอยู่ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน
ทำให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น และชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ และในน้ำมะพร้าวยังสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตและแบ่งเซลล์ได้ดี
แถมยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับของเสียหรือสารพิษออกจากร่างกาย ( คล้ายๆ กับการทำดีท็อกซ์)
จึงช่วยทำให้ผิวพรรณผ่องใส อีกทั้งความเป็นด่างของน้ำมะพร้าวยังช่วยปรับสมดุลของร่างกายในช่วงที่มีความเป็นกรดสูง
ทำให้กลไกการทำงานของระบบภายในเป็นปกติ ส่งผลให้มีสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก

..น้ำมะพร้าว
"สปอร์ตดริ๊งค์" จากธรรมชาติ

เนื่องจากน้ำมะพร้าวมีปริมาณเกลือแร่ที่จำเป็นสูง รวมทั้งมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาความอ่อนเพลียเนื่องจากอาการท้องเสียหรือท้องร่วงได้
จึงจัดเป็นสปอร์ตดริ๊งค์ (
Sport Drink)
สามารถดื่มหลังการสูญเสียเหงื่อจากการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกาย
นอกจากนี้ ในประเทศไต้หวันและประเทศจีน ยังนิยมดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อลดอาการเมาหลังการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกด้วย

น้ำมะพร้าวเป็นอาหารบริสุทธิ์ และเต็มไปด้วยกลูโคสที่ร่างกายดูดซึมเข้าไปใช้ได้ง่าย
นอกจากนั้นมะพร้าวยังเป็นผลไม้ที่มีความเป็นด่างสูง สามารถรักษาโรคที่เกิดจากร่างกายมีความเป็นกรดมากเกินไป
หมอพื้นบ้านไทยถือกันว่า มะพร้าวเป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงเส้นเอ็น
ใช้รักษาโรคกระดูกได้ ส่วนคนจีนเชื่อว่า น้ำมะพร้าวมีฤทธิ์เป็นกลาง
ไม่เป็นทั้งหยินและหยาง มีสรรพคุณในการขับพยาธิ สำหรับคนไข้ที่อาเจียนและท้องร่วงในเวลาเดียวกัน
สามารถดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมกลูโคสไปใช้ในเวลาอันรวดเร็วได้..

<!--[if !supportLineBreakNewLine]-->

น้ำมะพร้าวดื่มได้ทุกวัน ทุกเพศทุกวัย เพราะเป็นเครื่องดื่มจากธรรมชาติ
ทำให้ร่างกายสดชื่น ไม่เป็นอันตรายเหมือนน้ำอัดลม น้ำหวาน
หรือน้ำที่ผ่านการปรุงแต่ง เพราะไม่ทำให้เกิดพิษหรือทัอกซินขึ้นในร่างกาย แต่สำหรับคนที่เป็นโรคไตและโรคเบาหวานไม่ควรดื่ม
เพราะน้ำมะพร้าวมีความหวาน ไม่เหมาะกับโรคดังกล่าว

และไม่ควรดื่มในสตรีที่กำลังมีประจำเดือน เพราะจะทำให้ประจำเดือนหยุดเนื่องจากมีฮอร์โมนเพศหญิงที่ทำให้ผนังเยื่อบุมดลูกหยุดการลอกตัว
น้ำมะพร้าวเปิดลูกแล้วควรดื่มเลย ไม่ควรทิ้งไว้นาน ถ้าเราตัดหรือหั่นผลไม้
อย่าทิ้งไว้เกินครึ่งชั่วโมง แม้จะเก็บในตู้เย็นก็ตามค่ะ ควรกินให้หมดในครั้งเดียว
ผลไม้แต่ละอย่างจะมีพลังชีวิต ถ้ากินผลไม้สุกจากต้นจะได้รับพลังชีวิตสูง
หากเก็บทิ้งค้างไว้ พลังชีวิตหรือคุณค่าของผลไม้จะลดต่ำลงเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่เก็บ

http://thaiherbclinic.com/node/1467

รางจืด ยาถอนพิษ


หญิงสาวอายุใกล้ ๕๐ ปีคนหนึ่ง ถ้าไม่บอกอายุ ดูจากผิวพรรณและหน้าตา คงต้องบอกว่าอายุประมาณ ๓๕ ปี และยิ่งรู้ลึกไปถึงประสบการณ์โรคภัยไข้เจ็บที่เธอประสบก็จะยิ่งแปลกใจว่าเธอ รักษาตัวมาได้อย่างไร
เธอเล่าให้ฟังว่า เธอทำงานในตำแหน่งเลขานุการในบริษัทต่างประเทศที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ได้รับเงินเดือนสูง สามีก็ทำงานในตำแหน่งดีเช่นกัน แต่ไม่มีบุตร เมื่อมีเงินมาก จึงใช้จ่ายในการกิน ดื่ม เที่ยว เต็มที่ สถานเสริมความงามที่ใดที่มีเสียงเล่าลือว่ารักษาผิวหน้า ผิวตัวได้ดี เธอจะต้องแวะเข้าไปใช้บริการไม่มีเว้น เครื่องสำอาง เครื่องบำรุงผิว แพงเท่าใด เป็นต้องหาซื้อมาใช้ เพราะเธอมีปัญหาที่ผิวซึ่งแพ้ง่าย ตัวคัน เธอเล่าให้ฟังว่า เพราะกลัวอ้วน มื้อเย็นไม่เคยทานข้าว แต่จะทานไก่ เป็นอาหารหลักทุกเย็น
จนกระทั่งวันหนึ่ง ไปหาหมอ หมอบอกให้นอนโรงพยาบาลทันทีเพื่อผ่าตัดมดลูกออก เนื่องจากก้อนมดลูกโตมาก เธอไม่อยากผ่าตัด กลับไปหาแม่ที่ต่างจังหวัด แม่บอกว่าไม่ต้องผ่า จะรักษาด้วยสมุนไพรพื้นบ้านเอง
เธอกลับบ้านพร้อมกับทานรางจืด ๒ แคปซูลพร้อมกับน้ำซาวข้าว วันละ ๒ ครั้ง พร้อมกับเลิกอาหารเนื้อสัตว์ทุกชนิด หันกลับมาทานข้าวกล้องและอาหารผักผลไม้สด ทานรางจืดได้ไม่นาน เธอต้องลงมานอนข้างล่างเพราะผิวหนังของเธอเต็มไปด้วยตุ่ม หนอง น้ำเหลือง ไหลออกมานอกตัว เหมือนคนเป็นโรคเรื้อน แต่เธอก็อดทนทานยาต่อไปจนครบ ๑ เดือน ผิวหนังที่เป็นตุ่ม เป็นหนองก็แห้งลง จนไม่เหลือร่องรอยอีก เมื่อไปพบแพทย์ที่เคยวินิจฉัยตอนแรกว่าเธอมีเนื้องอกในมดลูก ตรวจอีกครั้ง หมอยังแปลกใจว่า ก้อนเนื้องอกนั้นยุบเล็กลง จนไม่จำเป็นต้องผ่าตัดออกแล้ว
นับจากวันที่เริ่มทานรางจืด เธอได้เปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่หมด เลิกทานเหล้า เลิกกินเนื้อสัตว์ใหญ่ ทานข้าวกล้อง และผักผลไม้เป็นหลัก ออกกำลังกาย ฝึกสมาธิ อบตัวเป็นประจำด้วยสมุนไพรไทย ขัดตัวด้วยมะขามผสมผงขมิ้น เธอเลิกใช้เครื่องสำอางราคาแพงที่เคยแสวงหามาใช้ ผลปรากฏอย่างที่ผู้เขียนพบเธอนั่นเอง

ตำราสมุนไพรไทย สรรพคุณของรางจืดเป็นที่เลื่องลือมากว่าเป็นตัวยาถอนพิษที่ได้ผลชงัดนัก อาการมีตุ่ม มีหนองไหลออกมานอกตัว อาจเกิดจากการขับพิษของรางจืดก็ได้ เพราะเธอได้สะสมพิษไว้ในตัวมากเกินกว่าคนธรรมดาปกติจะมีกัน เนื่องจากชีวิตการกิน การดื่มในวงสังคม
โดยปกติร่างกายเราจะได้รับสารพิษจากอาหาร น้ำดื่ม และอากาศอยู่แล้ว ร่างกายจะสามารถชำระชะล้างสารพิษออกไปได้ในระดับหนึ่ง แต่เพราะวิถีชีวิตที่เร่งรีบ และการกินอาหารขยะมากจนร่างกายขับออกไม่ทัน สารพิษจึงสะสมอยู่ตามเนื้อเยื่อ เป็นผลให้ร่างกายเสื่อมและแก่เร็ว ทั้งยังกีดกันไม่ให้รับสารอาหารเข้าไปเลี้ยงร่างกายได้เต็มที่ ซึ่งสามารถเห็นได้จากความเหี่ยวแห้งของผิวหนังและเส้นผม
ข้าว
ท่านทราบไหมว่าข้าวที่เราทานอยู่ทุกวันนี้นั้นเป็นยาแก้พิษ เส้นใยของข้าวซ้อมมือหรือข้าวกล้องเป็นตัวดูดซับสารพิษอย่างดี และขับออกมาทางอุดจาระ นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เราควรกินข้าวกล้อง หรือข้าวซ้อมมือแทนข้าวขาว
ในตำรับยาไทยบางตำรับจะใช้น้ำซาวข้าวเป็นน้ำ กระสายยา เพื่อให้ฤทธิ์ยาแล่นเร็ว น้ำซาวข้าวจะนำตัวยาจับเม็ดเลือดเข้าสู่กระแสเลือดเร็วเช่นเดียวกับการใช้ ดีงูเหลือมเป็นน้ำกระสายยา แต่ต้องใช้ข้าวซ้อมมือนำมาถูกับมือในน้ำ จึงจะได้น้ำซาวข้าวที่ใช้เป็นกระสายยา ถ้าหากเราถูกพิษ หากไม่มีรางจืด ก็สามารถใช้น้ำซาวข้าวช่วยล้างพิษได้ แก้พิษร้อนใน พิษอักเสบ แก้ผื่นคัน
นอกจากนี้ ในหน้าร้อน ทานอาหารไม่สะอาด อาจทำให้ท้องเสีย ถ้าไม่มียาแก้ท้องเสีย เราก็ใช้ข้าวสุก ๑ ทัพพีล้างน้ำออกหลายๆครั้ง แล้วกินข้าวสุก จะช่วยบรรเทาอาการท้องเสียได้
ถ้าเป็นฝี แล้วอยากจะบ่มหัวฝี ก็ให้เอาข้าวสุก (ข้าวเหนียวจะดีกว่า) มาบดแผ่เป็นแผ่น แล้วปิดหัวฝี จะทำให้หัวฝีแตกเร็วขึ้น
ข้าวสารเอาแช่น้ำแล้วตำ เรียกว่าข้าวเบือผสมสุราทาแก้พิษผื่นคัน แก้ปวดบวม
ข้าวตาก คือข้าวที่หุงสุกแล้ว นำไปตากแห้ง แล้วเอามาคั่ว ใช้ขับประจำเดือนสตรี ซังข้าวหลังการเก็บเกี่ยวก็ใช้ขับประจำเดือนสตรีเช่นเดียวกัน
ข้าวยาคู หรือน้ำนมข้าว ใช้บำรุงกำลังอย่างดี มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล น้ำนมข้าวผลิตจากรวงข้าวอ่อนที่เม็ดข้าวยังเขียวอยู่ ต้องเป็นข้าวอ่อนก่อนเก็บมาทำข้าวเม่า และควรเป็นข้าวปลอดสารพิษ นำข้าวทั้งรวงมาล้างน้ำ แล้วเอารวงข้าวมาทุบให้แหลก เสร็จแล้วผสมน้ำคั้นออกมา จะได้น้ำสีเขียวอ่อน อาจผสมใบเตยด้วยก็ได้ น้ำที่ได้เอาไปต้มจนเดือด จะได้ข้าวยาคูที่มีความหอมข้นและหวานเล็กน้อย
รางจืด

เป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็ง มีสองชนิด คือ รางจืดดอกม่วง และรางจืดดอกขาว แต่ที่นิยมใช้กันคือรางจืดดอกม่วง ใบคล้ายใบย่านาง แต่ดูนิ่มนวลกว่า รางจืดเป็นตัวยารสเย็น ใช้ได้ทั้ง ใบ ราก เถา ตำคั้นน้ำ หรือฝนกับน้ำฝน น้ำซาวข้าว กินเพียงสองครั้งก็เห็นผลในการใช้ดื่มถอนพิษ ทั้งที่เป็นพิษจากยาฆ่าแมลง อาหารเป็นพิษ พิษจากเมาสุรา หรือกินยานอนหลับเกินอัตราส่วนที่แพทย์กำหนด ทั้งนี้เพราะสรรพคุณของรางจืดจะเปลี่ยนกรดหรือด่างในร่างกายที่เป็นพิษให้ เป็นกลาง และเมื่อสารยาของรางจืดซึมเข้าไประบบประสาท ในเส้นเลือด ไปปะทะกับพิษยา หรือสารพิษต่างๆในร่างกาย มันจะทำลายพิษเหล่านั้นให้เป็นกลางในเวลาอันรวดเร็ว ไม่เกิน ๔๕ นาที แต่ไม่ควรทานรางจืดเป็นประจำทุกวัน เพราะจะทำให้ร่างกายไม่ได้รับสารอาหารที่พอเพียง ใบรางจืดยังใช้ตำพอกแก้ปวดบวมได้
ตำรับยาล้างพิษของไทย ใช้กินก่อนกินยารักษาโรค เช่น จะรักษายาเสพติด ก็ให้กินยาล้างพิษก่อน ประกอบด้วย รางจืด เหงือกปลาหมอ และเถาย่านาง อย่างละ ๑๕ กรัม ต้มดื่มล้างพิษ
ต้นรางจืดปลูกง่าย เพียงใช้เถาชำก็ขึ้นแล้ว ปลูกเป็นไม้ประดับก็ได้ น่าจะปลูกไว้ประจำบ้าน
http://thaiherbclinic.com/node/78

มะรุม พืชมหัศจรรย์

มะรุม พืชมหัศจรรย์

 
มะรุม เป็นพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณในหลายด้าน เช่น ราก จะมีรสเผ็ด หวาน ขม แก้อาการบวม บำรุงไฟธาตุ เปลือก จะมีรสร้อน ช่วยขับลม ใบ ช่วยแก้เลือดออกตามไรฟัน แก้อักเสบ ดอก ช่วยบำรุงร่างกาย ขับปัสสาวะ ขับน้ำตา ฝัก รสหวาน แก้ไข้หรือลดไข้ เป็นต้น
ส่วนที่ใช้ : เปลือกต้น ราก ฝัก ใบ เนื้อในเมล็ด
สรรพคุณ :

ฝัก  -  ปรุงเป็นอาหารรับประทานแก้ไข้หัวลม                                                                                                                                     เปลือกต้น - มีรสร้อน รับประทานเป็นยาขับลมในลำไส้ ทำให้ผายหรือเรอ คุมธาตุอ่อนๆ (ตัดต้นลมดีมาก)
ราก - มีรสเผ็ด หวานขม แก้บวม บำรุงไฟธาตุ มีคุณเสมอกับกุ่มบก
      - แก้พิษ ฝี แก้ปวด แก้อักเสบ
แพทย์ตามชนบท ใช้เปลือกมะรุมสดๆ ตำบุบพอแตกๆ อมไว้ข้างแก้ม แล้วรับประทานสุราจะไม่รู้สึกเมาเลย

จากประสบการณ์ เนื้อในเมล็ดมะรุม ใช้แก้ไอได้ดี ใบสดมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ มีแคลเซียม วิตามินซี แร่ธาตุและสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก การรับประทานเนื้อในเมล็ด และใบสดเป็นประจำสามารถเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกายได้
ข้อควรระวัง ในคนที่เป็นโรคเลือด G6PD ไม่ควรรับประทาน
"มะรุม" มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Moringa oleifera Lam. วงศ์ Moringaceae เป็นพืชกำเนิดแถบใต้เชิงเขาหิมาลัย เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางที่ถูกปลูกไว้ในบริเวณบ้านไทยมาแต่โบราณ กินได้หลายส่วน ทั้งยอด ดอก และฝักเขียว แต่ใครๆ ก็นิยมกินฝักมากกว่าส่วนอื่นๆ ต้นมะรุมพบได้ทุกภาคในประเทศไทย ทางอีสานเรียก “ผักอีฮุม หรือผักอีฮึม” ภาคเหนือเรียก “มะค้อมก้อน” ชาวกะเหรี่ยงแถบกาญจนบุรีเรียก “กาแน้งเดิง” ส่วนชานฉานแถบแม่ฮ่องสอนเรียก “ผักเนื้อไก่” เป็นต้น
ผู้เฒ่าผู้แก่นิยมกินมะรุมในช่วงต้นหนาวเพราะเป็นฤดูกาลของฝักมะรุม หาได้ง่าย รสชาติอร่อยเพราะสดเต็มที่ มีขายตามตลาดในช่วงฤดูกาล คนที่ปลูกมะรุมไว้ในบ้านเท่านั้นจึงจะมีโอกาสลิ้มรสยอดมะรุม ใบอ่อน ช่อดอกและฝักอ่อน ช่อดอกนำไปดองเก็บไว้กินกับน้ำพริก ยอดมะรุม ใบอ่อน ช่อดอก และฝักอ่อนนำมาลวกหรือต้ทให้สุก จิ้มกับน้ำพริกปลาร้า น้ำพริกแจ่วบอง กินแนมกับลาบ ก้อย แจ่วได้ทุกอย่าง หรือจะใช้ยอดอ่อน ช่อดอกทำแกงส้มหรือแกงอ่อมก็ได้
ส่วนอื่นๆ ของโลกจะใช้ใบมะรุมประกอบอาหารเช่นเดียวกับการใช้ผักขมฝรั่ง หรือปรุงเป็นซอสข้นราดข้าวหรืออาหารแป้งอื่นๆ นอกจากนี้ ใช้ใบตากแห้งป่นเก็บไว้ได้นานโรยอาหาร เช่นเดียวกับที่ภูมิปัญญาอีสานจังหวัดสกลนครใช้ใบมะรุมแห้งปรุงเข้าเครื่อง “ผงนัว” กับสมุนไพรอื่นไว้แต่งรสอาหารมาแต่โบราณ ส่วนฝักอ่อนปรุงอาหารเหมือนถั่วแขก
คุณค่าทางอาหารของมะรุม มะรุมเป็นพืชมหัศจรรย์ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด กล่าวถึงในคัมภีร์ใบเบิ้ลว่าเป็นพืชที่รักษาทุกโรค
ใบมะรุมมีโปรตีนสูงกว่านมสด 2 เท่า การกินใบมะรุมตามชนบทของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศโลกที่ 3 เป็นการเพิ่มโปรตีนคุณภาพสูงราคาถูกให้กับอาหารพื้นบ้าน
นอกจากนี้ มะรุมมีธาตุอาหารปริมาณสูงเป็นพิเศษที่ช่วยป้องกันโรค นั่นคือ

วิตามินเอ                          บำรุงสายตามีมากกว่าแครอต 3 เท่า
วิตามินซี                        ช่วยป้องกันหวัด 7 เท่าของส้ม
แคลเซียม        บำรุงกระดูกเกิน 3 เท่าของนมสด
โพแทสเซียม    บำรุงสมองและระบบประสาท 3 เท่าของกล้วย
ใยอาหารและพลังงาน  ไม่สูงมากเหมาะกับผู้ที่ควบคุมน้ำหนักอีกด้วย
น้ำมันสกัดจากเมล็ดมะรุม มีองค์ประกอบคล้ายน้ำมันมะกอกดีต่อสุขภาพอย่างยิ่ง

จากอาหารมาเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ ปัจจุบันชาวญี่ปุ่นผลิตชาใบมะรุมออกจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบุว่าใช้แก้ไขปัญหาโรคปากนกกระจอก หอบหืด อาการปวดหูและปวดศรีษะ ช่วยบำรุงสายตา ระบบทางเดินอาหาร และช่วยระบายกาก
ประเทศอินเดีย หญิงตั้งครรภ์จะกินใบมะรุมเพื่อเสริมธาตุเหล็ก แต่ที่ประเทศที่ฟิลิปปินส์และบอสวานาหญิงที่เลี้ยงลูกด้วยนมจะกินแกงจืดใบมะรุม (ภาษาฟิลิปปินส์ เรียก “มาลังเก”) เพื่อประสะน้ำนมและเพิ่มแคลเซียมให้กับน้ำนมแม่เหมือนกับคนไทย

ประโยชน์ของมะรุม1.ใช้รักษาโรคขาดอาหารในเด็กแรกเกิดถึง 10 ขวบ และลดสถิติการเสียชีวิต พิการ และตาบอดได้เป็นอย่างดี
2.ใช้รักษาผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานให้อยู่ในภาวะควบคุมได้
3.รักษาโรคความดันโลหิตสูง
4.ช่วยเพิ่มและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ทานผลิตผลจากมะรุมในระหว่างตั้งครรภ์ เด็กที่เกิดมาจะไม่ติดเชื้อHIV นอกจากนี้ถ้ารับประทานอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้งยังช่วยให้คนทั่วๆไปสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง
5.ช่วยรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ให้อยู่ในภาวะควบคุมได้ การรักษาโรคเอดส์ที่ประสพผลสำเร็จในกลุ่มประเทศแอฟริกา
6.ถ้ารับประทานสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคมะเร็ง แต่ถ้าหากเป็นก็จะช่วยให้การรักษาพยาบาลง่ายขึ้น ในบางกรณีสามารถหยุดการเจริญเติบโตของโรคร้ายได้ ถ้าใช้ควบคู่ไปกับยาแพทย์แผนปัจจุบัน
หากผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งได้รับการรักษาด้วยรังสี การดื่มน้ำมะรุมจะช่วยให้การแพ้รังสีฟื้นตัวเร็วขึ้นและมีร่างกายที่แข็งแรง
7.ช่วยรักษาโรคไขข้ออักเสบ โรคเก๊าท์ โรคกระดูกอักเสบ โรคมะเร็งในกระดูก โรครูมาติซั่ม
8.รักษาโรคตาเกือบทุกชนิด เช่น โรคตามืดตามัวเพราะขาดสารอาหารที่จำเป็น โรคตาต้อ เป็นต้น หากรับประทานสม่ำเสมอ จะทำให้ตามีสุขภาพที่สมบูรณ์
9.รักษาโรคลำไส้อักเสบ โรคเกี่ยวกับท้อง ท้องเสีย ท้องผูก โรคพยาธิในลำไส้
10.รักษาปอดให้แข็งแรง รักษาโรคทางเดินของลมหายใจ และโรคปอดอักเสบ
11.เป็นยาปฏิชีวนะ

น้ำมันมะรุมสรรพคุณ..ใช้หยอดจมูกรักษาโรคภูมิแพ้ ไซนัสโรคทางเดินหายใจ ใช้หยอดหูฆ่าและป้องกันพยาธิในหู รักษาอาการเยื่อบุหูอักเสบ รักษาโรคหูน้ำหนวก ใช้ทาผิวหนังรักษาโรคผิวหนังจากเชื้อราและเชื้อไวรัส รักษาโรคเริม งูสวัด รักษาและบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้น ใช้ทารักษาแผลสด หูด ตาปลา ใช้ถูนวดบรรเทาอาการบริเวณที่ปวดบวมตามข้อ รักษาโรคไขข้ออักเสบ เก๊าท์ รูมาติก เป็นต้น
ชะลอความแก่
กล่าวกันว่ามะรุมมีฤทธิ์ชะลอความแก่ เนื่องจากยังไม่พบรายงานการวิจัยเกี่ยวกับมะรุมในด้านนี้ คาดว่าเป็นการสรุปเนื่องจากมะรุมมีสารฟลาโวนอยด์สำคัญคือ รูทินและเควอเซทิน (rutin และ quercetin) สารลูทีนและกรดแคฟฟีโอลิลควินิก (lutein และ caffeoylquinic acids) ซึ่งต้านอนุมูลอิสระ ดูแลอวัยวะต่างๆ ได้แก่ จอประสาทตา ตับ และหลอดเลือดจากการเสื่อมสภาพตามอายุ การกินสารต้านอนุมูลอิสระชะลอการเสื่อมสภาพในเซลล์ร่างกาย

ฆ่าจุลินทรีย์ สารเบนซิลไทโอไซยาเนตโคไซด์และเบนซิลกลูโคซิโนเลตค้นพบในปี พ.ศ. 2507 จากมะรุมมีฤทธิ์ต้านจุลชีพ สนับสนุนการใช้น้ำคั้นจากมะรุมหยอดหูแก้ปวดหู
ปัจจุบันหลังจากค้นพบแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร Helicobactor pylori กำลังมีการศึกษาสารจากมะรุมในการต้านเชื้อดังกล่าว

การป้องกันมะเร็ง สารเบนซิลไทโอไซยาเนตไกลโคไซด์ชนิดหนึ่งและสารไนอาซิไมซิน (niazimicin) จากมะรุมสามารถต้านการเกิดมะเร็งที่ถูกกระตุ้นโดยสารฟอบอลเอสเทอร์ในเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวได้
การทดลองในหนูพบว่าหนูที่ได้รับฝักมะรุมเป็นอาการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังจากการกระตุ้นน้อยกว่ากลุ่มทดลอง โดยกลุ่มที่กินมะรุมเนื้องอกบนผิวหนังน้อยกว่ากลุ่มควบคุม


ฤทธิ์ลดไขมันและคอเลสเทอรอล
จากการทดลอง 120 วัน ให้กระต่ายกินฝักมะรุม วันละ 200 กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันเทียบกับยาโลวาสแตทิน 6 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันและให้อาหารไขมันมาก

ใบมะรุม 100 กรัม  (คุณค่าทางโภชนาการของอาหารอินเดีย พ.ศ. 2537)

พลังงาน           26 แคลอรี
โปรตีน             6.7 กรัม (2 เท่าของนม)
ไขมัน               0.1 กรัม
ใยอาหาร           4.8 กรัม http://thaiherbclinic.com/node/141
คาร์โบไฮเดรต     3.7 กรัม
วิตามินเอ           6,780 ไมโครกรัม (3 เท่าของแครอต)
วิตามินซี           220 มิลลิกรัม (7 เท่าของส้ม)
แคโรทีน           110 ไมโครกรัม
แคลเซียม         440 มิลลิกรัม (เกิน 3 เท่าของนม)
ฟอสฟอรัส         110 มิลลิกรัม
เหล็ก               0.18 มิลลิกรัม
แมกนีเซียม       28 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม       259 มิลลิกรัม (3 เท่าของกล้วย)
ทั้งนี้ กลุ่มที่กินมะรุมและยามีคอเลสเทอรอลฟอสโฟไลพิด ไตรกลีเซอไรด์ VLDL LDL ปริมาณคอเลสเทอรอลต่อฟอสโฟไลพิด และ atherogenic index ต่ำลง ทั้ง 2 กลุ่มมีการสะสมไขมันในตับ หัวใจ และหลอดเลือดแดงใหญ่ (เอออร์ตา) โดย
กลุ่มควบคุมปัจจัยด้านการสะสมไขมันในอวัยวะเหล่านี้ไม่มีค่าลดลงแต่อย่างใด กลุ่มที่กินมะรุมพบการขับคอเลสเทอรอลในอุจจาระเพิ่มขึ้น ผู้วิจัยจึงสรุปว่าการกินมะรุมมีผลลดไขมันในร่างกาย
ที่ประเทศอินเดียมีการใช้ใบมะรุมลดไขมันในคนที่มีโรคอ้วนมาแต่เดิม การศึกษาการกินสารสกัดใบมะรุมในหนูที่กินอาหารไขมันสูงมีปริมาณคอเลสเทอรอลในเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญเทียบกับกลุ่มควบคุม นอกจากนี้กลุ่มทดลองมีปริมาณไขมันในตับและไตลดลง
สรุปว่าการให้ใบมะรุมเพื่อลดปริมาณไขมันทางการแพทย์อินเดียสามารถวัดผลได้ในเชิงวิทยาศาสตร์จริง
ฤทธิ์ป้องกันตับ งานวิจัยการให้สารสกัดแอลกอฮอล์ของใบมะรุมกรณีทำให้ตับหนูทดลองเกิดความเสียหายโดยไรแฟมไพซิน พบว่าสารสกัดใบมะรุมมีฤทธิ์ป้องกันตับ โดยมีผลกับระดับเอนไซม์แอสาเทตอะมิโนทรานสเฟอเรส อะลานีน
ทรานมิโนทรานสเฟอเรส อัลคาไลน์ฟอสฟาเทส และบิลิรูบินในเลือด และมีผลกับปริมาณไลพิดและไลพิดเพอร์ออกซิเดสในตับ โดยดูผลยืนยันจากการตรวจชิ้นเนื้อตับ สารสกัดใบมะรุมและซิลิมาริน (silymarin กลุ่มควบคุมบวก) มีผลช่วยการพักฟื้นของการถูกทำลายของตับจากยาเหล่านี้